วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิสิต และ นักศึกษา ต่างกันอย่างไร ???

จะใช้อะไรก็ไม่มีความหมายเท่ากับว่า นิสิตหรือนักศึกษา เป็นปัญญาชนจริงหรือเปล่า
บ่อยครั้งที่กระทู้ในโต๊ะห้องสมุดจะมีข้อถกเถียงเรื่องที่มาของคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” โดยมากมักตั้งคำถามกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร สถาบันใดที่ใช้คำว่านิสิตบ้าง เป็นต้น

ก่อนจะตอบคำถามเหล่านั้นก็ควรจะมาดูก่อนว่าคำว่า “นิสิต” หมายถึงอะไร และสถาบันใดบ้างที่ใช้คำว่า “นิสิต”

คำว่า “นิสิต” นั้นเป็นภาษาบาลี แปลว่า “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” เนื่องจากแต่เดิมสถาบันการศึกษาระดับสูงมักมีหอพักให้ผู้เรียนได้พักอาศัยภายในสถาบัน ประกอบกับความนิยมภาษาบาลีด้วยจึงได้ใช้คำนี้โดยทั่วไป

จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มแรกเป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ ได้สถาปนาขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย” และปรากฏใช้คำว่า “นิสิต” สำหรับนิสิตชาย และ “นิสิตา” สำหรับนิสิตหญิง ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “นิสิต” เพียงคำเดียว

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ก่อตั้งขึ้นโดยที่ค่านิยมภาษาบาลีสันสกฤตยังเป็นที่นิยมและมีหอพักให้ผู้เรียนภายในสถาบันเช่นเดียวกัน จึงใช้คำว่า “นิสิต” มาตั้งแต่แรกเริ่ม

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นับเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย เริ่มต้นจากการเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร” ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “วิทยาลัยวิชาการศึกษา” นับเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของไทยที่สามารถเปิดสอนวิชาชีพครูได้ถึงระดับปริญญา (ก่อนจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย) โดยมีทั้งสิ้น ๘ แห่งทั่วประเทศ และทุกแห่งก็ใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด

ภายหลังวิทยาลัยวิชาการศึกษาทั้ง ๘ แห่ง ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” (อ่านว่า สี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรด) และปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (คงสถานะเดิม)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ยุบวิทยาเขต)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พลศึกษา (ยุบวิทยาเขต)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน (ยุบวิทยาเขต)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยนเรศวร)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัย มหาสารคาม)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยบูรพา)

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา (ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยทักษิณ)

จนปัจจุบันที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแต่ละแห่งได้มีการเปลี่ยนไปด้วยประการต่าง ๆ แต่ก็ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด

ทั้ง ๓ มหาวิทยาลัย (๗ มหาวิทยาลัย) ใช้คำว่า “นิสิต” ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ มีหอพักให้ผู้เรียนอยู่ภายในสถาบัน

ในสมัยที่ประชาธิปไตยพยายามจะเบ่งบาน มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (ธรรมศาสตร์ หมายถึง วิชาว่าด้วยกฎหมาย) เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ไม่มีหอพักให้ผู้เรียน จึงสร้างคำใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ไทย ๆ” มากขึ้น จึงใช้คำว่า “นักศึกษา”

มหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นภายหลังหลาย ๆ แห่ง แม้จะมีหอพักนักศึกษาอยู่ภายในมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่นิยมใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนมหาวิทยาลัย “โบราณ” ที่ก่อตั้งมานานแล้วทั้งหลาย จึงหันไปใช้คำว่า “นักศึกษา” เหมือนกันแทบทุกแห่ง แม้แต่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เอง แต่เดิมก็ใช้คำว่า “นิสิต” แต่ภายหลังอธิการบดีท่านหนึ่งซึ่งเป็นนายแพทย์ ก็ได้เปลี่ยนคำว่า “นิสิต” มาเป็นคำว่า “นักศึกษา” ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองก็นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เคยใช้คำว่า “นิสิต” มาก่อน

ผู้ที่ตอบกระทู้ในโต๊ะห้องสมุดหลายคน ก็ให้เหตุผลต่าง ๆ กัน บ้างก็ว่าถ้าที่ไหนเก่าก็ใช้คำว่านิสิต บ้างก็ว่ามหาวิทยาลัยแห่งใดอยากใช้คำว่านิสิตก็ต้องขอพระราชทานเอา (ก็นับเป็นเหตุผลที่ตลกเหตุผลหนึ่ง) ส่วนเหตุผลที่ไม่เข้าท่าที่สุดก็เห็นจะเป็นเหตุผลที่ว่า “มหาวิทยาลัยใดที่เคยมีเจ้าฟ้าเข้าเรียน ก็จะเปลี่ยนไปใช้คำว่านิสิต”

อาจจริงอยู่ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเคยทรงศึกษาที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต อักษรศาสตรมหาบัณฑิต และเคยทรงศึกษาระดับปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แต่มหาวิทยาลัยดังกล่าวมาแล้วนั้น ปรากฏใช้คำว่า “นิสิต” มาตั้งแต่เดิมแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาเปลี่ยนเอาภายหลัง

อีกประการหนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็เคยทรงศึกษาระดับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (จารึกตะวันออก) ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่มหาวิทยาลัยศิลปากรก็ไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนคำว่า “นักศึกษา” เป็น “นิสิต” แม้แต่น้อย

อาจจริงอยู่ที่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จะเคยทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่สถาบันแห่งนี้ก็ใช้คำว่า “นิสิต” มาตั้งแต่นมนานก่อนที่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ จะเสด็จเข้าทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เช่นเดียวกัน


http://manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9530000130965

รับตรง ม.ขอนแก่น 2555 มาแล้วจ้า

รับสมัคร 1 ถึง 15 สิงหาคม 2554 สอบ 29-31 ตุลาคม 2554
คณะดัง ๆ ที่เปิดรับ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล ทันตะ เภสัช บัญชี มนุษญ์ ต้องสอบตรง และใช้ GAT- PAT รอบตุลาคมพิจารณาการรับเข้าด้วยจ้า


สาขาที่เปิดรับสมัคร และสัดส่วนการการคิดเกณฑ์รับเข้า http://reg2.kku.ac.th/eregistration/2555/kku2555.pdf


เว็บไซต์หลัก http://reg2.kku.ac.th/eregistration/index.asp

มาแล้ว !! โควต้า 55 ม.สุรนารี (รับ 2,000 ที่นั่ง)

โควต้าทุกประเภท เปิดรับสมัคร 1 ก.ค.54 - 31 ส.ค.54 ผ่านทางเว็บไซต์
www.sut.ac.th/ces โดยระบบจะเปิดรับวันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป



สิ่งที่ควรรู้จากโควต้านี้

- รับเฉพาะเด็ก ม.6 เท่านั้น

- รับนักเรียนทุกแผนการเรียน (วิทย์-คณิต, ศิลป์-คำนวณ, ศิลป์-ภาษา) แต่ต้องดูคุณสมบัติว่าแต่ละแผนสมัครสาขาใดได้บ้าง

- ไม่มีสอบข้อเขียน

- เปิดรับทั่วประเทศทุกโครงการ (ยกเว้นโควต้าโรงเรียนและโควต้าจังหวัด)

- โควต้าทุกประเภท ใช้ GPAX 4 เทอม (ม.4-5) ไม่ต่ำกว่า 2.50

- สามารถเลือกสมัครได้มากกว่า 1 โควต้า แต่เมื่อได้รับคัดเลือกแล้ว เลือกเข้าสอบสัมภาษณ์ได้เพียง 1 โควตาเท่านั้น

- ค่าธรรมเนียมการสมัคร โควต้าละ 150 บาท (เลือกกลุ่มสาขาวิชาได้ 2 อันดับ)




สนใจโควต้าประเภทไหน กดโหลดเลย

โควต้าโรงเรียน คลิกที่นี่

โควต้าจังหวัด คลิกที่นี่

โควต้าผู้มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คลิกที่นี่

โควต้านักกีฬา คลิกที่นี่

โควต้าดนตรีและนาฏศิลป์ คลิกที่นี่

โควต้าเด็กดีมีคุณธรรม คลิกที่นี่

โควต้านักเรียนมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา (สอวน.) คลิกที่นี่

หรือดูรายละเอียดทั้งหมดในเว็บหลัก ได้ที่ www.sut.ac.th/ces

6 เทคนิค พิชิต รับตรง แอดมิชชั่น 2555

6 เทคนิค พิชิต รับตรง แอดมิชชั่น 2555
1 รู้อะไรไม่สู้ รู้ตัวเอง
น้องๆควรจะตัวเองก่อนว่า ตัวเองนั้นสอบอะไร อยากเรียนคณะอะไร รวมไปถึงมหาวิทยาลัยไหนด้วย เพราะเมื่อเรารู้ตัวเองแล้วจะทำให้เรามีเป้าหมายจัดเชน จะได้วางแผนในการอ่านหนังสือได้ง่ายขึ้น
ซึ่งหลายคน ยังมีปัญหามาก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร อันนี้ขอแนะนำเลยว่าให้ลองไปงาน open house ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าไปคุยกับคุณพี่คณะต่างๆ หาหนังสือที่มีการสัมภาษณ์ คนในสายงานอาชีพต่าง ๆ บางคนอาจจะมองไปถึงว่าเรียนจบแล้วจะมีงานทำไหม เงินเดือนเท่าไร ผมก็แนะนำเข้าไป หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.unigang.com/Category/26 จะมีบทความเกียวกับแนะแนวอาชีพ
ถ้าใครยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรอีก ผมขอเสนอ งั้นให้คุณคิดว่า ตัวเราเองนั้นจะสร้างจุดเข็งอะไร มาสัก 1 ข้อ เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ กีฬา เศรษฐกิจ ร้องเพลง แล้วรองให้เวลากับสิ่งนั้นแบบเต็มที่

2 ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
หลักจากเรารู้ตัวเองแล้ว เราต้องหาข้อมูลต่อว่า คณะที่เราอยากเข้า มหาวิทยาลัยในฝันนั้น คัดเลือกอย่างไร และมีที่ไหนเปิดสอนบ้าง เช่น
สัตวแพทย์ มีเปิดสอนแค่ 6 สถาบันที่ได้รับรองจาก สภาสัตวแพทย์ จุฬา มหิดล เกษตรศาสตร์ เชียงใหม่ ขอนแก่น และ มหานคร
โดย แบ่งระบบการรับเป็น 2 อย่าง คือ รับตรง และ แอดมิชชั่น
โดยจะใช้คะแนนตามนี้นะครับ GAT 20 % และ PAT2 30 %


นอกจาก GAT -PAT แล้วยังใช้ ONET อีก 30 % และ GPAX อีก 20 % นะครับ
สำหรับสาย ศิลป์ จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ อย่างเช่น นิติศาสตร์ บางที่ต้องใช้ เลข หรือ PAT1 ในการสอบเข้า
หรือบางคณะ ต้องใช้ PAT7 ในการสอบเข้า ยังไงผมก็แนะนำให้เข้าไป มั่ว >…< เพื่อให้มีองค์ประกอบครบในการเลือกคณะ แนะนำให้น้องศึกษา สัดส่วน GAT-PAT ในแต่ละรายคณะได้ที่ http://www.cuas.or.th/admbook54/document/all_bookadm54.rar สำหรับระบบรับตรง ขอยกตัวอย่างสัตวแพทย์ เช่นเดิม 1 จุฬา ยื่น GAT-PAT 2 เกษตรศาสตร์ ยื่น GAT-PAT 3 มช มข สอบตรง+ ยื่น GAT-PAT 4 มหิดล สอบตรง 5 มหานคร รับตรงหลังแอดมิชชั่น จ้า 3 ตารางชีวิต แม้เพ่งจะขึ้น ม.6 มามาด ๆ แต่ขอบอกเวลาเหลือน้อยกว่าที่คิดมากนะครับ จะเห็นว่าเราเหลือเวลาไม่เยอะอย่างที่คิดนะครับ เพราะเราต้องอ่านหนังสือทั้งสอบตรง มหาวิทยาลัยต่าง เตรียมสอบในโรงเรียน เตรียมสอบ GAT-PAT ด้วยครับ ปล ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ยังไงก็เต็มที่กับชีวิตหน่อยนะครับ 4 เทคนิคอ่านหนังสือ ผมขอแนะนำให้ลองอ่านเทคนิคการอ่านหนังสือ http://unigang.com/Category/24 ลองเข้าไปอ่านแล้วปรับ ประยุกต์ให้เข้ากับตัวเองนะครับ 5 อัพเดทข่าวสาร น้องควรจะอัพเดทข่าวสาร รับตรงอยู่เสอมครับ เพราะแต่ละมหาวิทยาลัย รับตรงไม่เท่ากัน โดยน้อง ๆ อาจจะเข้าไปเว็บไซต์ ของมหาวิทยาลัย หรือ คณะ ต่างๆ ที่น้องสนใจ หรือเข้าเว็บไซต์การศึกษาดัง ๆ ก็ได้ครับ เช่น Dek-d ผมคิดว่าเว็บนี้ข่าวสาร ok หรือ UniGang.com ก็ดีนะ ฮาฮา ปีก่อน กสพท ประกาศว่าเด็กคนไหน ขาดเอกสารอะไรบ้างผ่านหน้าเว็บ ก็มีกรณีเเด็กไม่ได้เข้าเว็บทุกวันอะครับ จึงทำให้ไม่รู้ว่าสาร เขาขาดส่งรูปไปแค่ 1 ใบ เลยมีการฟ้องร้องกันสุดท้าย เด็กคนนั้นก็โดนตัดสิทธ์ ลองเข้าไปอ่านข่าวเก่าได้เลย http://www.unigang.com/Article/6261 6 You Self !!! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องชนะใจตัวเอง เพราะคนส่วนใหญ่ จะติดกับดัก คำว่า เดี๋ยว เดี้ยว พรุ้งนี้ค่อยอ่าน งะ สุดท้ายก็ไม่ได้ เริ่ม พอคะแนน ออกมาน้อย ก็จะพูด ว่า รู้งี้ ( ขยันอ่านหนังสือ ดีก่า >..< )
รู้อะไร ก็ไม่สู้ รู้งี้
ยังไง เล่น น้อยลง เรียนมากขึ้น แค่ไม่กี่เดือนเองครับ
แม้ การศึกษา จะไม่ใช่ทุกอย่าง ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่ มันก็ เป็น ก้าวที่คำสัญ เป็น การปูทาง สู่ความสำเร็จ

ม.เกษตร (สกลนคร)รับตรง ปี 55

คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร

สาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร จำนวน 130 คน
สาขาวิชาทรัพยากรเกษตร จำนวน 130 คน
สาขาวิชาอาหารปลอดภัยและโภชนาการ จำนวน 60คน
สาขาวิชาทรัพยากรเกษตรและการจัดการการผลิต จำนวน 60คน
คุณสมบัติของผู้สมัคร
เป็นนักเรียนปัจจุบันที่ศึกษาอยู่ชั้นม.6 มีผลการเรียนสี่ภาคการศึกษาไม่ต่ำว่า 2.50
แต่หากเกรดไม่ถึง

ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถการเป็นตัวแทนนักกีฬาจากสถานศึกษา
ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถด้านศิลปวัฒนธรรมจากสถานศึกษา
มีหนังสือรับรองจากผู้ใหญ่บ้านหรือ อบต. รับรองผู้ปกครองประกอบอาชีพเกษตรกรรม
หรือคุณสมบัติอื่นๆ ที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม
กำหนดการรับสมัคร 1 มิถุนายน -15 กันยายน 2554

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดได้ที่เอกสารหมายเลข 1ด้านล่างค่ะ

คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์

สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 140 คน
สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลและการผลิต จำนวน 140 คน
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ จำนวน 140 คน
สาขาวิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม จำนวน 140 คน
สาขาวิชาเคมีประยุกต์ จำนวน 140 คน
สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ จำนวน 140 คน
สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จำนวน 140 คน
คุณสมบัติของผู้สมัคร
เป็นนักเรียนปัจจุบันที่ศึกษาอยู่ชั้นม.6 หรือปวช. มีผลการเรียนสี่ภาคการศึกษาไม่ต่ำว่า 2.50
และผลการศึกษาในระดับม.ปลายหรือปวช. ไม่ต่ำกว่า 2.50
แต่หากเกรดไม่ถึง ต้องมีคุณสมบัติเพิ่มเติมดังนี้

ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถการเป็นตัวแทนนักกีฬาจากสถานศึกษา
ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถด้านศิลปวัฒนธรรมจากสถานศึกษา
ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถทางวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์จากสถานศึกษา
มีหนังสือรับรองการผ่านการเค้าร่วมเยาวชนเอเอฟเอส
มีหนังสือรับรองจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายก อบต.
หรือคุณสมบัติอื่นๆ ที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม
กำหนดการรับสมัคร 1 มิถุนายน -15 กันยายน 2554

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดได้ที่เอกสารหมายเลข 2 ด้านล่างค่ะ

คณะศิลปศาสตร์และวิทยาการจัดการ

สาขาวิชาการจัดการ จำนวน 140 คน
สาขาวิชาการบัญชี จำนวน 140 คน
สาขาวิชาการตลาด จำนวน 120 คน
สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและท่องเที่ยว จำนวน 140 คน
คุณสมบัติของผู้สมัคร
เป็นนักเรียนปัจจุบันที่ศึกษาอยู่ชั้นม.6 หรือปวช. มีผลการเรียนสี่ภาคการศึกษาไม่ต่ำว่า 2.50
และผลการศึกษาในระดับม.ปลายหรือปวช. ไม่ต่ำกว่า 2.50
แต่หากเกรดไม่ถึง ต้องมีคุณสมบัติเพิ่มเติมดังนี้

ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถการเป็นตัวแทนนักกีฬาจากสถานศึกษา
ต้องมีหนังสือรับรองความสามารถด้านศิลปวัฒนธรรมจากสถานศึกษา
สำหรับผู้สมัครที่ผู้ปกครองประกอบธุรกิจให้ส่งหลักฐานระบุประเภทธุรกิจและธุรกิจที่ผู้ปกครองประกอบการอยู่
มีหนังสือรับรองจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายก อบต.
หรือคุณสมบัติอื่นๆ ที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม
กำหนดการรับสมัคร 1 มิถุนายน -15 กันยายน 2554

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดได้ที่เอกสารหมายเลข 3 ด้านล่างค่ะ

เว็บไซต์การรับสมัคร http://158.108.110.6/Admission-55/index.jsp

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร
59 หมู่ 1 ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร รหัสไปรษณีย์ 47000 โทรศัพท์ : 0-4272-5000
โทรสาร : 0-4272-5013

รับตรง ICT ม.มหิดล ปี 55 สมัคร 1 สิงหาคม – 7 ตุลาคม 2554

โครงการรับตรงปีการศึกษา 2555 ค่อยๆ ทยอยออกมาเรื่อยๆ วันนี้ก็มีข่าวดีเช่นกันค่ะ เพราะว่า ทางมหาวิทยาลัยมหิดล รับสมัครน้องๆ สอบตรงเข้าคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รับสมัครสอบ 1 สิงหาคม – 7 ตุลาคม 2554 น้องๆ สามารถเลือกเรียนในสาขา ต่างๆ ได้ 4 สาขา ดังนี้

วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science)
เรียนเกี่ยวกับ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล การสื่อสารข้อมูล การออกแบบและพัฒนาระบบงาน คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง เป็นต้น

ระบบเชิงข้อมูลและระบบเชิงปัญญา (Databases and Intelligent Systems)
เรียนเกี่ยวกับการจัดการฐานข้อมูล และระบบฐานความรู้ คลังข้อมูล ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศในองค์กร การวิเคราะห์และออกแบบระบบสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ การเรียนรู้ของเครื่องและระบบเชิงฉลาด การประมวลผลและรู้จำภาพ ตัวอักษร และเสียง ฯลฯ เป็นต้น

ระบบธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E- Business Systems)
เรียนเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ ICT ในการบริหารจัดการและพัฒนาระบบสารสนเทศต่างๆ ในองค์กร และที่ใช้สำหรับการทำธุรกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์

ระบบสื่อผสม (Multimedia Systems)
เรียนเกี่ยวกับทางด้านเทคโนโลยี Multimedia และการประยุกต์ใช้งาน Multimedia ในงานต่างๆ อาทิการประมวลผลข้อมูลภาพแบบดิจิตอล การทำภาพเคลื่อนไหว


(รอบแรก)

รับสมัครสอบ 1 สิงหาคม – 7 ตุลาคม 2554

ประกาศสถานที่สอบข้อเขียน 12 ตุลาคม 2554

สอบข้อเขียน 15 ตุลาคม 2554

ประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านข้อเขียน และสถานที่สอบสัมภาษณ์ 9 พฤศจิกายน 2554

สอบสัมภาษณ์ 12 พฤศจิกายน 2554

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษา 13 พฤศจิกายน 2554

รายงานตัวผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษา 14 – 19 พฤศจิกายน 2554

ชำระค่าลงทะเบียน 19 พฤศจิกายน 2554

Intensive Courses มิถุนายน 2554

เปิดภาคเรียน -







ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าหน่วยกิต และค่าใช้จ่ายต่างๆ
ประมาณภาคการศึกษาละ 55,000 บาท
และประมาณ 100,000 บาท สำหรับนักศึกษาต่างชาติ



คณะ ICT มีทุนการศึกษา (ทุนตลอดหลักสูตรและทุนระหว่างปี)
ให้กับนักเรียนที่เรียนดี โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าหน่วยกิต
และค่าบำรุงการศึกษา
ภาคการศึกษาละประมาณ 50,000 บาท

ประเภทของทุนการศึกษา

เป็นทุนเรียนดี และไม่มีข้อผูกมัดหลังจบการศึกษา

ทุนประเภทที่ 1 ทุนเรียนดีตลอดหลักสูตร (ICT Undergraduate Full Scholarship)
ทุนประเภทที่ 2 ทุนเรียนดีบางส่วนตลอดหลักสูตร (ICT Undergraduate Partial Scholarship)
ทุนประเภทที่ 3 ทุนเรียนดีระหว่างปี (ICT Undergraduate Good Student Scholarship)

รายละเอียดเพิ่มเติมเอกสารประกอบข่าวด้านล่างค่ะ หรือ
http://www.ict.mahidol.ac.th/thai/thaiadmission/

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหิดล
999ถนนพุทธมณฑลสาย 4ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ : 02 849-6399 โทรสาร : 02 849-6099

เทคนิคการทำข้อสอบภาษาอังกฤษ

การที่เราจะทำแบบฝึกหัดหรือข้อสอบภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนดีๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ของเราเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับกลยุทธ์หรือการวางแผนการทำข้อสอบของเราด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้สามารถฝึกฝนกันได้ และเราก็ได้นำกลยุทธ์ในการทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดมาให้นำไปทดลองใช้กันด้วย ดังนี้

1. แน่นอนว่าในการทำข้อสอบแต่ละครั้งนั้น มันต้องมีบางข้อที่เราตอบไม่ได้ (ยกเว้นเราจะเก่งเกินไปหรือข้อสอบมันง่ายเกินไป) ขอให้จำไว้ว่า อย่าดันทุรังหาคำตอบในข้อที่เราทำไม่ได้โดยที่ยังไม่ได้ข้ามไปดูข้อต่อไป เพราะการดันทุรังทำมันอยู่ข้อเดียวนั้นทำให้เสียเวลาที่จะเอาไว้ทำข้ออื่น ซึ่งเราสามารถตอบได้ ที่สำคัญจะทำให้เราลนลานเมื่อรู้ว่าเวลากำลังจะหมดแต่ข้อสอบยังเหลืออีกหลาย ข้อที่ยังไม่ได้ทำ


2. ถ้าเป็นไปได้ พยายามทำข้อสอบไปเรื่อยๆ จนหมด โดยเลือกทำเฉพาะข้อที่เรามั่นใจมากๆ เสียก่อน ข้อไหนที่ยังไม่มั่นใจก็ให้เว้นเอาไว้


3. เมื่อทำข้อสอบจนหมดแล้ว จึงค่อยย้อนกลับมาทำในข้อที่เราเว้นไว้เมื่อสักครู่ และก็อีกเช่นเดิมคือ เลือกทำข้อที่พอจะทำได้จนหมดก่อน ส่วนข้อไหนที่คิดว่ายากจริงๆ ก็ให้เว้นไว้


4. หลังจากทำข้อสอบจนถึงหน้าสุดท้ายเป็นรอบที่ 2 แล้ว ทีนี้เราก็จะเหลือแต่ข้อสอบข้อที่ยากมากๆ หรือข้อที่เราทำไม่ได้จริงๆ


5. ในการตอบคำถามข้อสุดยากเหล่านี้ บางครั้งก็ต้องอาศัยการเดาเข้าช่วย แต่ถึงจะเดาอย่างไรก็ควรเดาให้มีความเป็นไปได้มากที่สุด อย่าเดาสุ่มแบบที่เรียกว่าหลับตาจิ้มเด็ดขาด ต้องอ่านคำถามแล้วเลือกคำตอบที่คิดว่าพอจะเป็นไปได้มากที่สุด และต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวพอสมควร เพราะคำตอบแรกที่นึกขึ้นได้มักจะมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกมากที่สุด เมื่อตอบแล้วจึงต้องข้ามไปเลย อย่าลังเลย้อนกลับมาแก้ไขใหม่


6. จำไว้ว่าถ้าเป็นข้อสอบแบบอัตนัย (บรรยาย) อย่าเว้นช่องคำตอบให้ว่าง เขียนอะไรก็ได้ที่พอจะเกี่ยวข้องหรือพอจะนึกได้ลงไป อย่างน้อยถ้าโชคดีไปเจอคนตรวจข้อสอบใจดีก็อาจจะได้คะแนนค่าน้ำหมึกมาบ้างก็ ยังดีกว่าไม่ได้คะแนนเลย ส่วนถ้าเป็นข้อสอบแบบปรนัย (ตัวเลือก) ยิ่งห้ามเว้นว่างเด็ดขาด เพราะถึงจะมั่วขนาดไหน แต่เราก็มีโอกาสตอบถูกถึง 1 ใน 4 หรือ 25% เลยทีเดียว


7. พยายามสังเกตเวลาแต่อย่าแตกตื่นกับ เวลา สังเกตเวลาเพื่อนำมาคำนวณกับจำนวนข้อสอบที่เหลือให้เหมาะสม แต่ถ้ามันเหลือเวลาน้อยเกินไปก็อย่าตกใจ ให้เลือกทำข้อที่ทำได้ไปก่อน แล้วสุดท้ายค่อยเดาคำตอบข้อที่เหลือ


8. ห้ามโกงโดยเด็ดขาด เพราะการทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดให้อะไรกับเราได้มากมาย ถ้าเราโกง มันก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยในระยะยาว

ข้อควรจำ

1. ถ้าเราไม่รู้คำตอบ ก็อย่าไปกังวล เพราะการกังวลกับสิ่งที่เราไม่รู้มากเกินไปนั้น มันจะบั่นทอนจิตใจและความมั่นใจของเราจนทำให้เราไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้ จริงออกมาได้


2. จำไว้ว่าการทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัด นั้นไม่ใช่แค่การทดสอบความสามารถของเราเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้รู้ว่าเราจำเป็นที่จะต้องใช้ความมุ่งมั่นในการพัฒนาทักษะ ภาษาอังกฤษของเราอีกสักแค่ไหน


3. ถ้ายังไม่เข้าใจว่าเราตอบคำถามผิด อย่างไร ต้องกล้าที่จะถามครูหรือผู้รู้ การมัวแต่อายในความผิดพลาดไม่ได้ช่วยให้คุณพัฒนาขึ้นได้เลย ดังนั้น จงถาม!

แหล่งที่มา : https://www.myfirstbrain.com/

เทคนิคง่ายๆ สงบใจในห้องสอบ

วัน สอบใกล้เข้ามาทุกที โอย..ตื่นเต้น ตื่นเต้น หนังสือที่อ่านมาจะจำได้ไหม โจทย์เลขจะออกยังไง จะทำข้อสอบทันไหม ใจเย็นๆ ค่ะ การสอบแต่ละครั้ง นอกจากจะวัดความรู้ ความชำนาญ และความตั้งใจในห้องเรียนของเราแล้ว ยังวัดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของเราด้วย คราวนี้ 'คิดซี'ก็เลยมีเทคนิคสงบใจในห้องสอบมาฝากกันก่อนสอบไล่ หรือใครจะเอาไปใช้ตอนสอบเข้าก็ไม่ว่ากันเริ่มต้นก็หายใจเข้าลื้กกก..ลื้ก กก...ผ่อนลมหายใจออกยาวววว..ยาวววว...แล้วนำเอาเทคนิคต่อไปนี้ไปใช้

ก่อนก้าวเท้าเข้าห้องสอบ

ตรวจสอบเรื่องวัน เวลา รวมทั้งสถานที่สอบให้แน่ใจ และไปให้ถึงห้องสอบก่อนเวลามากๆ จะได้ไม่ต้องตื่นเต้นลนลานว่าจะมาสอบไม่ทัน
เมื่อ ไปถึงสนามสอบแล้ว ใช้เวลาที่เหลือนึกทบทวนเนื้อหาหลักๆ จากความจำ แล้วตรวจสอบกับโน้ตย่อที่เตรียมไว้ อย่าใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนกลายเป็นความกังวล เพราะรายละเอียดเหล่านี้เราได้ทบทวนมาอย่างดีแล้ว เมื่อความตื่นเต้นลดลง เราจะค่อยๆ นึกออกมาได้เองในห้องสอบ
การให้เหตุผลสำคัญกว่าการสรุป อย่าเขียนตอบยาวๆ แต่ไม่ตรงคำถาม หรือตอบในสิ่งที่ข้อสอบไม่ได้ถาม ยิ่งเขียนออกนอกเรื่องมาก แทนที่จะได้คะแนนเพิ่ม กลับจะถูกหักคะแนนได้
เขียน ให้เร็ว โดยใช้ลายมือที่ชัดเจน เป็นระเบียบ เพื่อให้ครูตรวจข้อสอบได้ง่ายขึ้น เพราะคำตอบที่ดีที่สุดจะไม่มีความหมายถ้าไม่มีใครอ่านออก
ก่อน เดินเข้าห้องสอบ นึกในใจหลายๆ ครั้ง ว่า เราทำได้ เราทำได้แน่นอนเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง การเตรียมตัวมาอย่างดีจะทำให้เราเดินเข้าสู่สนามสอบด้วยความมั่นใจ ความตึงเครียดน้อยๆ เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะช่วยให้เราตื่นตัว และพร้อมที่จะลงมือทำข้อสอบได้ดีขึ้นค่ะ
สร้างความมั่นใจในห้องสอบ

เมื่อได้รับแจกข้อสอบแล้ว ให้พลิกดูทั้งหมดก่อนว่าได้รับข้อสอบครบหรือไม่ จากนั้น คำนวณว่ามีข้อสอบทั้งหมดกี่ข้อ ต้องใช้เวลาทำเท่าไร จัดลำดับความสำคัญว่าจะทำอะไรก่อนหลัง จะแบ่งเวลาให้แต่ละข้อเท่าๆ กัน หรือเผื่อเวลาไว้มากหน่อยสำหรับข้อยาก หรือข้อที่ต้องตอบยาวก็ได้ แต่ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับตรวจทานคำตอบในช่วงท้ายด้วย
อ่านคำสั่งให้ละเอียดก่อนลงมือทำ ขีดเส้นใต้คำหรือข้อความเฉพาะ เช่น จงเลือก ตอบเพียง 5 ข้อ ตอบข้อ 1และเลือกตอบอีก 3 ข้อ วงกลม(หรือกากบาท) ข้อที่ถูกที่สุด จงกาเครื่องหมาย / หรือ X หน้าข้อความที่กำหนดให้ การอ่านคำสั่งเสียเวลาไม่กี่วินาที แต่มีผลมากกับคะแนน เพราะถ้าทำผิดคำสั่ง แม้จะตอบคำถามถูกต้อง ก็อาจถูกหักคะแนนได้
ความ รู้สึกตื่นเต้นวิตกกังวลจะค่อยๆ หายไปตอนที่เราลงมือเขียนคำตอบข้อแรก ดังนั้นเทคนิคสำคัญก็คือ ให้เลือกทำข้อที่มั่นใจว่าทำได้แน่ๆ ก่อน เพราะพอเราคิดคำตอบออก ก็จะเป็นกำลังใจให้ตัวเองว่าสามารถตอบคำถามข้อที่ยากขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำเรียงลำดับตามข้อที่ให้มา เพราะถ้าเจอข้อแรกเป็นข้อที่เราทำไม่ได้ ความเครียดและประหม่าจะยิ่งทวีคูณขึ้น
ใช้เวลาทำข้อสอบตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ถ้าทำไม่เสร็จ ให้เว้นช่องว่างไว้เพื่อมาทำต่อในภายหลัง แต่ถ้าไม่มีเวลากลับมาทำ ควรใช้เวลาในช่วงสุดท้ายตอบข้อสอบที่เหลือ โดยเขียนสรุปประเด็นสำคัญๆ ให้ครอบคลุม ไม่จำเป็นต้องเขียนขยายความโดยละเอียด
แต่ถ้าทำเสร็จก่อนเวลา ให้ใช้เวลาที่เหลือทบทวนคำตอบ หรือตรวจสอบตัวเลขที่คำนวณไว้อีกครั้ง ตรวจดูให้แน่ใจว่าเราได้ทำข้อสอบครบทุกข้อ มีหลายคนที่เสียคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย เพราะทำข้อสอบไม่ครบ ก่อนส่ง เช็กซ้ำอีกครั้งว่าเขียนชื่อ และเลขที่นั่งสอบเรียบร้อยแล้ว
ความแตกต่างระหว่างแบบฝึกหัดและการสอบ คือเวลาที่จำกัดดังนั้น ควรฝึกซ้อมทำข้อสอบเก่าๆ ในสถานการณ์ที่เหมือนการสอบจริงไว้บ้าง เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองใช้เวลามากน้อยเพียงใด และสามารถปรับปรุงตัวเองให้แบ่งเวลาได้ถูกต้องในการสอบจริง

ข้อสอบแบบไหน รับมือให้เหมาะ

ข้อสอบแต่ละลักษณะมีวิธีรับมือไม่เหมือนกัน ในที่นี้'คิดซี'มีเทคนิคทำข้อสอบ 2 ประเภทหลักๆ มาให้ดูเป็นตัวอย่างข้อ สอบปรนัย เป็นการให้เลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียวจากตัวเลือกทั้งหมด หรือกาเครื่องหมาย / หรือ X หน้าข้อความที่กำหนดให้ ข้อสอบแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดความจำของเราเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปใน วิชานั้นๆ

ที่มา : http://www.momypedia.com/

"คณะวนศาสตร์" ประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง

คณะวนศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้ในด้านต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็นออกเป็นสาขาให้เลือกศึกษาได้ดังนี้ การจัดการทรัพยากรป่าไม้
การเรียนในสาขาวิชานี้จะเรียนใน 3 แขนงวิชา ได้แก่
การจัดการลุ่มน้ำ ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางอุทกวิทยา การวางแผน การใช้ที่ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำ การวิเคราะห์ลุ่มน้ำ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การจัดการป่าไม้ ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ การคณิตป่าไม้ การสำรวจแจงนับ ทรัพยากรป่าไม้ ชีวมิติป่าไม้ การวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียม การทำแผนที่การใช้ที่ดินเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรป่าไม้ การตลาดป่าไม้
อุทยานและนันทนาการ ศึกษาเกี่ยวกับหลักนันทนาการท่องเที่ยวทางธรรมชาติการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พฤติกรรมนันทนาการ การวิเคราะห์และออกแบบภูมิทัศน์ เทคนิคการสื่อความหมายสิ่งแวดล้อม การวางแผนอุทยานและพื้นที่นันทนาการ
วิศวกรรมป่าไม้ ศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์งานด้านวิศวกรรมและคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานป่าไม้ เช่น การสำรวจรังวัดทำแผนที่ การจัดทำข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ การทำระดับพื้นที่ การทำทางชักลากไม้ การสร้างบ้านพัก สะพาน ถนน บ่อน้ำ ในงานป่าไม้ ตลอดจนการนำไม้ออกจากป่าให้ถูกต้องตามหลักวิชาการป่าไม้
วนศาสตร์ชุมชน ศึกษาเกี่ยวกับด้านป่าไม้และชุมชนบท อันได้แก่ การใช้ประโยชน์ที่ดิน หลักวนเกษตร ชีววิทยาประยุกต์ในการปลูกพืช การส่งเสริมการป่าไม้ในการพัฒนาชนบทการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ป่าไม้มีขนาดย่อม วิทยาศาสตร์ชีวภาพป่าไม้ การเรียนในสาขานี้ แบ่งการเรียนออกเป็น 3 แขนงวิชา ได้แก่
ชีววิทยาป่าไม้ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในป่า เมล็ดพันธุ์ไม้ป่าสรีรวิทยาของไม้ อนุกรมวิธานของพันธุ์ไม้ป่า นิเวศวิทยาของป่า การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และแมลงศัตรูของพืช โรคพืช
วิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้า ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของสัตว์ป่า นิเวศวิทยาและการอนุรักษ์สัตว์ป่า นิเวศวิทยาป่าไม้และสัตว์ป่า เทคนิคการจัดการจัดการสัตว์ป่า การเลี้ยงสัตว์ พืชอาหารสัตว์ เทคนิคการศึกษาสัตว์ป่า การจัดการทุ่งหญ้า การใช้ประโยชน์ทุ่งหญ้า
วนวัฒนวิทยา ศึกษาเกี่ยวกับการปลูกบำรุงป่าไม้ พันธุ์ศาสตร์ เมล็ดพันธุ์ไม้ การป้องกันป่าไม้และไฟป่า ปฐพีวิทยาป่าไม้ อาหารพืชไม้ แมลงศัตรูป่าไม้ วนวัฒนวิทยาเขตเมือง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางไม้
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสมบัติพื้นฐานของไม้และการใช้ประโยชน์ไม้ควบคู่ไปกับการศึกษาด้านวิศวกรรม

คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา
เป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์ รักป่า รักธรรมชาติ

แนวทางในการประกอบอาชีพ
ผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสเข้าทำงานที่กรมป่าไม้ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีเพียงคณะวนศาสตร์แห่งเดียวที่ผลิตปริญญาตรีด้านนี้ นอกจากนี้สามารถทำงานได้ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ บริษัทไม้อัดไทย และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับไม้ รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ตลอดจนเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ และประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น

Credit : admissions.is.in.th

ระวัง 4 สนามสอบสำคัญไม่ควรพลาด-ก่อนยื่นรับตรง แอดมิชชั่น ปี55

ขอบคุณ http://www.dek-d.com/content/admissions/25210/ระวัง-4-สนามสอบสำคัญ-ไม่ควรพลาดก่อนยื่นรับตรง.php
ช่วงนี้ก็ใกล้เข้าสู่เทศกาลสอบตรงเต็มตัวแล้ว น้องๆ คงชุลมุนวุ่นอยู่กับการรอรับตรงของคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันอยู่ เพื่อไม่ต้องไปเหนื่อยแย่งเก้าอี้ในรอบแอดฯกลาง และในปีนี้หลายมหาวิทยาลัยก็ออกมาเปิดรับตรงกันถล่มทลายเลย ซึ่งในแต่ละคณะ ก็จะมีคุณสมบัติหรือเกณฑ์การพิจารณารับเข้าที่แตกต่างกัน น้องๆ ต้องศึกษากันให้ดีก่อนนะคะ จะได้ไม่พลาด
วันนี้พี่มิ้นท์จะมาย้ำเกี่ยวกับการรับตรงค่ะว่า ให้ดูระเบียบการให้ดีในทุกๆ ส่วน โดยเฉพาะรายวิชาที่สอบ ซึ่งบางมหาวิทยาลัยอาจจะใช้สอบข้อเขียนในวิชาสามัญทั่วไป 5 วิชาหลัก หรือ แล้วแต่คณะว่าจะสอบวิชาใด แต่บางที่ก็จัดสอบวิชาเฉพาะสาขานั้น โดยทางมหาวิทยาลัยดำเนินการจัดสอบเองเหมือนกัน วิชาพวกนี้น้องๆ ที่สมัครรับตรงทุกคนจะต้องไปนั่งสอบในสนามสอบพร้อมๆ กัน

แต่สำหรับบางมหาวิทยาลัย นอกเหนือจากวิชาสามัญแล้ว จะมีรายวิชาหรือคะแนนพิเศษที่ต้องใช้ยื่นพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการสอบนอกรอบ น้องๆ ต้องตามเก็บ ตามสอบ แบบตัวใครตัวมันค่ะ ซึ่งพี่มิ้นท์สรุปมาได้ดังนี้



1.GAT/PAT 1/2555 หรือ GAT/PAT ตุลาคม พี่มิ้นท์เชื่อว่าน้องๆ คงลืมสอบวิชาสำคัญยิ่งชีพอันนี้หรอกค่ะ เพราะกลายเป็นวิชาสามัญประจำสนามแอดมิชชั่นไปแล้ว GAT คือ การสอบวิชาความถนัดทั่วไป ส่วน PAT คือ การสอบวัดความถนัดเฉพาะด้าน ซึ่งมีถึง 7 วิชา คือ ความถนัดทางคณิตศาสตร์, ความถนัดทางวิทยาศาสตร์, ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์, ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์, ความถนัดทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์, ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ และความถนัดทางภาษาต่างประเทศ

คะแนน GAT/PAT ที่ใช้ยื่นสอบตรงได้ มีแค่ GAT/PAT 1/2555 หรือ GAT/PAT ตุลาคมเท่านั้นนะคะ แล้วรับตรงหลายๆ ที่ก็ใช้คะแนน GAT/PAT เป็นองค์ประกอบด้วย เพราะฉะนั้นจะเข้าสอบที่ไหน คณะไหน ดูรายละเอียดกันนิดนึงว่าใช้ค่าน้ำหนักในส่วนนี้รึเปล่า และใช้ค่าน้ำหนักเท่าไหน (แต่ละที่ใช้ค่าน้ำหนักไม่เท่ากัน ดูให้ดีๆ) สุดท้ายก็ตั้งใจและเตรียมตัวอ่านหนังสือไปสอบ ห้ามพลาดสอบเชียวนะคะ เพราะถ้าพลาดครั้งนี้แล้ว สอบอีกทีก็มีนา ใช้ยื่นสอบตรงไม่ได้แล้วค่ะ



2.CU-Science เป็นการทดสอบความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ที่ใช้สำหรับโครงการรับตรงของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ การสอบ CU-Science ค่อนข้างหนักทีเดียว มีแบ่งเป็นวิชาย่อยอีก 4 วิชา คือ เคมี ฟิสิกส์ ชีวะและคณิตศาสตร์ วิชาละ 400 บาท ซึ่งจะต้องสอบให้ครบทุกวิชาด้วย ถ้าน้องๆ จะสอบ ต้องดูกำหนดการด้วยนะ เพราะปีนึงสอบแค่ไม่กี่รอบเอง แต่เพื่อความสะดวกของน้องๆ พี่มิ้นท์เอามาให้ดูกันค่ะ

หมายเหตุ ตอนนี้รับตรง วิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยังไม่ออกมาค่ะ ต้องรอดูกันต่อไปนะคะ





3.วิชาเฉพาะของ กสพท. ก็คือวิชาเฉพาะกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (สอบแพทย์ กสพท.มีทั้งวิชาสามัญและวิชาเฉพาะหรือวัดความถนัดแพทย์) วิชาเฉพาะจะแบ่งย่อยออกเป็น 3 พาร์ท คือ

พาร์ทแรก วัด IQ

พาร์ทสอง วัดการเชื่อมโยงเหตุผล + วิเคราะห์

พาร์ทสาม วัดจริยธรรมทางการแพทย์

แม้ว่าการสอบนี้จะเป็นการจัดสอบโดยระบบรับตรงของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ กสพท. เอง เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในกลุ่มแพทย์หรือทันตแพทย์ แต่รับตรงบางที่ก็มีการใช้คะแนนในส่วนของวิชาเฉพาะของ กสพท.ด้วย เช่น โครงการรับตรง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่จะใช้คะแนนในส่วนของวิชาจริยธรรม เป็นเกณฑ์พิจารณาร่วมด้วย



4.SMART-I เป็นการสอบเฉพาะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์รับตรงเข้าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ทั้งหลักสูตร 4 ปี(รังสิต) และหลักสูตรควบตรี-โท 5 ปี (ท่าพระจันทร์) ซึ่งคะแนนนี้สามารถอยู่ได้ถึง 2 ปีค่ะ เพราะฉะนั้นจะสอบก่อนก็ไม่เสียหายอะไร แต่จะต้องเสียค่าสมัครเหนาะๆ 450 บาท/ครั้ง สำหรับโครงการรับตรงของคณะบริการธุรกิจและการบัญชี จะเปิดรับสมัครช่วงประมาณเดือนกันยายน (เปิดรับสมัครพร้อมๆ กับคณะอื่น) ยังไงก็ต้องติดตามข่าวอัพเดทกันต่อไปค่ะ ส่วนกำหนดการสอบ SMART-I ของปีนี้ มาดูกันเลย



วิชาในการสอบ SMART-I แบ่งออกเป็น 4 พาร์ท คือ ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ความสามารถด้านการอ่านและความรู้รอบตัว สำหรับเกณฑ์การพิจารณาในระบบรับตรงนั้น จะต้องมีคะแนนขั้นต่ำในทุกๆ พาร์ทไม่น้อยกว่า 30% และคะแนนรวมเมื่อแปลงเป็นคะแนนสำหรับโครงการรับตรงจะต้องมีคะแนนไม่ต่ำกว่า 50 จาก 100 คะแนน คะแนนโหดใช่เล่นเลยนะเนี่ย ><



เอาล่ะ ทีนี้ก็รู้กันแล้วว่าการสอบตรงในบางคณะ บางสาขา ยังมีคะแนนอื่นมาเสริม แถมเป็นคะแนนที่เราต้องไปขวนขวายจากการสอบข้างนอกเอาเองด้วย พี่มิ้นท์ ก็ไม่อยากให้น้องๆ ต้องตกม้าตาย แบบว่าพอจะยื่นคะแนนแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าลืมสอบนู่นนี่ ก็เลยมาบอกกันตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากนี้ก็เหลือแค่ให้น้องๆ ตั้งใจอ่านหนังสือ ไปลงสนามสอบที่ได้สมัครไว้ อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ถ้าได้ขึ้นมาก็คุ้มค่ามากๆ เลยนะ^^

รับตรง 55 มศว

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) มีความประสงค์จะรับสมัครบุคคลเพื่อสอบคัดเลือกเข้าเป็น
นิสิตระดับปริญญาตรี (สอบตรง) ประจำปีการศึกษา 2555 ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน 2554 ถึงวันที่ 18
สิงหาคม 2554 จึงขอประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการรับสมัครสอบดังต่อไปนี้

คณะทันตแพทยศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์
คณะเภสัชศาสตร์
คณะสหเวชศาสตร์
คณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร
คณะวิทยาศาสตร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะพลศึกษา
คณะมนุษยศาสตร์
คณะศิลปกรรมศาสตร์
คณะศึกษาศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์
สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
วิทยาลัยนานาชาติเพื่อศึกษาความยั่งยืน

สถานที่เรียน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีสถานที่ตั้ง 2 แห่ง คือ
2.1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
กรุงเทพฯ
2.2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ ตั้งอยู่ที่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มหาวิทยาลัย
จัดหอพักให้ นิสิตต้องชำระค่าธรรมเนียมตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ดูรายละเอียดที่ http://dorm.swu.ac.th/

ผู้สอบผ่านการคัดเลือกและรายงานตัวเข้าเป็นนิสิตมีสถานที่เรียน ดังนี้
1) คณะเภสัชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะพลศึกษา
ทุกชั้นปี เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จังหวัดนครนายก
2) คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
คณะศึกษาศาสตร์ และวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
ชั้นปีที่ 1 เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จังหวัดนครนายก
ชั้นปีที่ 2 เป็นต้นไป เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ
3) คณะวิทยาศาสตร์ และวิทยาลัยนานาชาติเพื่อศึกษาความยั่งยืน
ทุกชั้นปี เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ
4) คณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร
ชั้นปีที่ 1 เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ
ชั้นปีที่ 2 เป็นต้นไป เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จังหวัดนครนายก
5) สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
หลักสูตรภาษาไทย
ชั้นปีที่ 1 เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จังหวัดนครนายก
ชั้นปีที่ 2 เป็นต้นไป เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ
หลักสูตรภาษาอังกฤษ
ทุกชั้นปี เรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ


การสมัคร

สมัครทางอินเทอร์เนต ได้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2554 ถึง วันที่ 18 สิงหาคม 2554
ผู้สมัครต้องตรวจสอบด้วยตนเองว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ตามประกาศมหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ เรื่อง การรับสมัครสอบคัดเลือกเข้าเป็นนิสิตระดับปริญญาตรี (สอบตรง) ประจำปีการศึกษา
2555 และรายละเอียดแนบท้ายประกาศฯ แล้วจึงสมัคร
หากตรวจพบภายหลังว่าผู้สมัครขาดคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งแม้จะผ่านกระบวนการสอบคัดเลือกเข้า
เป็นนิสิตแล้วก็ตาม จะถูกตัดสิทธ์ิในการคัดเลือกครั้งนี้โดยไม่ได้รับเงินคืน

อนึ่ง มหาวิทยาลัยได้ประกาศระเบียบการรับสมัครสอบคัดเลือกเข้าเป็นนิสิตระดับปริญญาตรี
ประจำปีการศึกษา 2555 จำนวน 4 โครงการ คือ
1. โครงการสอบตรง (รับตรงทั่วประเทศ)
2. โครงการ “โควตาจังหวัดนครนายก”
3. โครงการ “คัดสรรนักเรียนพหุปัญญาเลิศโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เข้าศึกษา
ในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ”
4. โครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศสหราชอาณาจักร

ผู้สมัครสามารถเลือกสมัคร โครงการต่างๆ ได้มากกว่า 1 โครงการ และในแต่ละโครงการสามารถ
เลือกสมัครได้มากกว่า 1 สาขาวิชา ถ้าเวลาในการสอบข้อเขียนไม่ตรงกัน ดังนั้นผู้สมัครต้องศึกษารายละเอียด
ประกาศระเบียบการรับสมัครสอบคัดเลือกฯ ด้วยตนเอง ว่ามีสิทธ์ิสมัครโครงการหรือสาขาวิชานั้นๆ หรือไม่
เพื่อประโยชน์ของตนเอง (ค่าสมัครสอบโครงการและสาขาวิชาละ 500 บาท)

กรณีผู้สมัครที่มีความพิการ หากมีความประสงค์จะสมัครในคณะ/สาขาวิชา ตามรายละเอียดแนบ
ท้ายประกาศฯ ให้ติดต่อโดยตรงกับสาขาวิชานั้นๆ (ยกเว้นคณะศิลปกรรมศาสตร์) ถ้าสาขาวิชายินดีรับ
ผู้สมัครต้องทำหนังสือแจ้งว่าจะสมัครในโครงการและสาขาวิชาอะไร มีความพิการด้านใด ภายในวันที่ 18
สิงหาคม 2554 ไปยัง ศูนย์การประเมินผลและรับนิสิต อาคาร 9 ชั้น 1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
สุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 เพื่อมหาวิทยาลัยจะได้เตรียมความพร้อมในการจัดสอบให้

ขั้นตอนการสมัครทางอินเทอร์เนต
1) ผู้สมัครเข้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่ http://admission.swu.ac.th
2) ศึกษารายละเอียดในประกาศมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรื่อง การรับสมัครสอบคัดเลือกเข้าเป็น
นิสิตระดับปริญญาตรี (สอบตรง) ประจำปีการศึกษา 2555 และ/หรือโครงการต่างๆ (โปรดพิมพ์/อ่าน และ
ศึกษาข้อมูลต่างๆ ด้วยตนเองอย่างละเอียดเพื่อประโยชน์ของตนเอง)
3) เลือกรายละเอียดสาขาวิชาของโครงการที่ต้องการสมัครก่อนการบันทึกข้อมูล (โปรดพิมพ์/อ่านและศึกษา
ข้อมูลต่างๆ ด้วยตนเองอย่างละเอียดเพื่อประโยชน์ของตนเอง)
4) บันทึกข้อมูลการสมัครโดยเลือก สมัครโครงการสอบตรง และ/หรือโครงการต่างๆ ตามสาขาวิชาที่มี
สิทธ์ิสมัคร และตรวจสอบให้ถูกต้อง (โปรดบันทึกข้อมูลการสมัครด้วยตนเอง และตรวจสอบข้อมูล
ต่างๆ อย่างละเอียดให้ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของตนเอง)
5) พิมพ์แบบฟอร์มการรับชำระเงิน ไปชำระเงินค่าสมัครตามโครงการและสาขาวิชาที่สมัคร (โครงการ
และสาขาวิชาละ 500 บาท) ที่เคาน์เตอร์ธนาคารหรือที่ทำการไปรษณีย์ ภายใน 1 วันหลังจากบันทึก
ข้อมูลการสมัคร หากชำระเงินน้อยกว่าที่กำหนด มหาวิทยาลัยจะไม่คืนให้ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้นและถือ
เป็นโมฆะ และต้องชำระเงินใหม่ทั้งหมด กรณีที่ชำระเงินมากกว่าที่กำหนด มหาวิทยาลัยจะไม่คืนส่วน
ที่เกินให้ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
6) เมื่อชำระเงินค่าสมัครไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลต่างๆ ได้ หากต้องการเปลี่ยนแปลงต้อง
เริ่มปฏิบัติตามข้อ 4) และข้อ 5) ใหม่ ทั้งนี้ภายในวันที่ 18 สิงหาคม 2554 เท่านั้น และมหาวิทยาลัย
จะถือข้อมูลการสมัครครั้งสุดท้ายนี้เป็นสำคัญ
7) ผู้สมัครตรวจสอบข้อมูลการสมัครของตนเองได้ที่ http://admission.swu.ac.th หลังการชำระเงิน
ค่าสมัครไปแล้ว 3 วันทำการ ผู้สมัครจะพบเลขที่นั่งสอบ หากชำระเงินค่าสมัครมากกว่า 1 โครงการ/สาขาวิชา
จะได้เลขที่นั่งสอบทุกโครงการ/สาขาวิชาที่สมัคร
8) ผู้สมัครดูผังสนามสอบ อาคารสอบได้ที่ http://admission.swu.ac.th ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2554

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สทศ.ประกาศลดค่าสมัครสอบ GAT-PAT วิชาละ 10 บาท

นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้หารือกับ นายประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ถึงเรื่องการปรับลดค่าสมัครการทดสอบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และแบบทดสอบวัดความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ PAT ซึ่งเห็นตรงกันว่าให้ปรับลดค่าสมัคร GAT และ PAT จากวิชาละ 150 บาท เหลือวิชาละ 140 บาท และให้ดำเนินการได้ทันทีในการสมัครสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 1/2555 (สอบเดือนต.ค.54) เริ่มสมัครวันที่ 1-29 ก.ค.นี้
ผู้อำนวยการ สทศ.กล่าวต่อไปว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร สทศ. เมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีมติเห็นชอบตามที่ตนเสนอเรื่องขอลดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินค่าสมัคร GAT และ PAT จากเดิมที่ผู้สมัครจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสมัคร จาก 15 บาท ลดเหลือ 10 บาท รวมทั้งขอลดค่าพิมพ์ใบรายงานผลการทดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือ O-NET, GAT และ PAT ที่เรียกว่า ระบบ E-SCORE จากเดิมถ้านักเรียนจะพิมพ์ข้อมูลเอง ต้องเสีย 20 บาท ลดลงเหลือ 10 บาท ทั้งนี้ ไม่รวมค่าธรรมเนียมการจ่ายเงิน 10 บาท แต่ถ้ามาพิมพ์ข้อมูลที่ สทศ. จะต้องเสีย 30 บาท เหลือ 20 บาท ทั้งนี้การพิมพ์ที่สทศ.จะเป็นกระดาษสี อย่างไรก็ตามการที่ สทศ.และ ทปอ.ปรับลดค่าสมัคร GAT และ PAT ค่าธรรมเนียมการสมัคร และค่าพิมพ์ใบรายงานผลนั้น เพื่อต้องการให้ผู้สมัครประหยัดมากขึ้น และการปรับลดดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ทันที

ลดค่าสมัครสอบ GAT/PAT เป็นวิชาละ 150 บาท

ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยผลการประชุม ทปอ.เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้ มีมติเห็นชอบลดค่าสมัครสอบทดสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และ PAT จากวิชาละ 200 บาท เป็นวิชาละ 150 บาท โดยเริ่มได้ตั้งแต่การสมัครสอบครั้งที่ 2/2553 สอบเดือน ก.ค.นี้ รวมทั้งให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ดำเนินการสมัครและสอบ GAT และ PAT ตามปฏิทินเดิม คือ สอบเดือน ก.ค. ต.ค. และ มี.ค. นอกจากนี้ ทปอ.ยังยืนยันมติองค์ประกอบและค่าน้ำหนักแอดมิชชั่น ประจำปีการศึกษา 2554 ยังคงใช้เหมือนปี 2553 คือ ใช้คะแนนผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร ม.ปลาย หรือ GPAX 20% คะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานหรือ O-NET 30% คะแนน GAT 10-50% และคะแนน PAT 0-40%

คะแนนต่ำสุด วิศวะปี 53 คับ 50 อันดับแรก

จัดอันดับรวมคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกสาขาวิชาเรียงตามคะแนนต่ำสุด 50 อันดับแรก

อันดับ สาขาวิชา สถาบันการศึกษา คะแนนสูงสุด คะแนนต่ำสุด
1 สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล 21,953.75 18,940.05
2 สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ (ยังไม่แยกภาค) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 23,902.80 18,859.25
3 สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ปิโตรเคมีและวัสดุพอลิเมอร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 21,680.55 18,655.20
4 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 21,199.90 18,278.20
5 (สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมอุตสาหการ วิศวกรรมการบินและอวกาศ วิศวกรรมไฟฟ้าเครื่องกลการผลิต และวิศวกรรมวัสดุ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 21,197.15 17,844.50
6 สาขาวิชาวิศวกรรมทรัพยากรธรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 20,445.70 17,573.45
7 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 22,084.00 17,432.95
8 หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วศ.บ. 4 ปี) สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ 20,017.70 17,372.50
9 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 21,267.15 17,355.75
10 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 19,329.40 17,331.30
11 สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 19,159.25 17,139.00
12 สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 20,145.60 17,091.50
13 สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และระบบคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 18,346.85 16,818.70
14 สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 18,003.55 16,627.40
15 สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 21,077.80 16,621.75
16 สาขาวิชาวิศวกรรมการจัดการและโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 18,397.30 16,575.10
17 สาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 18,286.25 16,304.25
18 สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล, สาขาวิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนคร เหนือ 20,485.90 16,267.75
19 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 19,169.05 16,200.35
20 สาขาวิชาวิศวกรรมสำรวจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 21,005.50 15,999.10
21 กลุ่มไฟฟ้า (วิศวกรรมโทรคมนาคม วิศวกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง 20,725.25 15,958.45
22 สาขาวิชาวิศวกรรมโลหการและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 20,241.55 15,948.15
23 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 18,752.15 15,895.35
24 สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยมหิดล 20,945.90 15,890.15
25 สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 20,036.15 15,807.65
26 สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 19,399.30 15,806.05
27 สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 19,050.40 15,635.70
28 สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ (วิศวกรรมการบินและอวกาศ) และสาขาวิชาบริหารธุรกิจ (หลักสูตรร่วมนานาชาติ 2 ปริญญา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 19,747.25 15,630.85
29 สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 17,452.90 15,530.05
30 สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยศิลปากร 18,240.65 15,405.35
31 สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์และความรู้ (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 18,666.15 15,341.80
32 สาขาวิชาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 19,393.20 15,310.75
33 สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 18,248.20 15,239.05
34 สาขาวิชาวิศวกรรมโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 17,431.70 15,213.25
35 สาขาวิศวกรรมเคมี (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 18,805.85 15,208.55
36 สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 17,495.20 15,208.35
37 สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยศิลปากร 16,164.20 15,197.60
38 สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ (ยังไม่แยกภาค) มหาวิทยาลัยขอนแก่น 20,271.60 15,179.95
39 สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 18,531.75 15,172.80
40 สาขาวิชาวิศวกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 18,226.45 15,164.90
41 สาขาวิชาวิศวกรรมกระบวนการชีวภาพ มหาวิทยาลัยศิลปากร 17,597.15 15,076.80
42 (โครงการฯ ภาคพิเศษ) สาขาวิชาวิศวกรรมวัสดุ วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมอุตสาหการ วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมไฟฟ้าเครื่องกลการผลิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 19,311.00 15,071.20
43 สาขาวิชาโยธา-ทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน 18,568.45 15,058.15
44 สาขาวิชาวิศวกรรมการวัดคุม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 18,749.90 14,998.30
45 สาขาวิชาวิศวกรรมการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 17,614.05 14,983.55
46 สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 17,859.60 14,972.55
47 สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยขอนแก่น 17,900.40 14,948.20
48 1354 หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วศ.บ. 4 ปี) สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ 18,357.95 14,946.90
49 สาขาวิชาวิศวกรรมระบบควบคุม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 17,314.70 14,946.00
50 สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า+ไฟฟ้าสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหิดล 18,627.90 14,927.20


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2099853#ixzz1Qe8ptEjg

11 สิ่งที่ควรทำก่อนจบ ม.6

11 สิ่งที่ควรที่ควรทำก่อนจบ ม.6 อย่าลืมเอาไปใช้กันละ 55555

1. สอบให้ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 สักครั้งในชีวิตนักเรียน

2. บอกรักรุ่นน้องที่เราแอบรักมานาน แล้วชวนไปเที่ยวด้วยกัน > < ( ถ้าไม่มี ดูข้อ 2.1 )
2.1 บอกรักเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เราแอบชอบอยู่ เพราะปีหน้าก็จะจบแล้วน้ะจ้ะ (ถ้าเพื่อนร่วมห้อง ดูข้อ 2.2)
2.2 สารภาพความในใจเพื่อนร่วมห้องที่เราแอบชอบ ไม่ว่าเราจะรักเขาแบบไหน แล้วเขาเป็นเพศอะไรก็ตาม แต่ก็บอกความจริงในใจไปเถอะ ถ้าไม่บอกออกไป โอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันอาจไม่หวนมาตลอดชีวิต แล้วจะมานั่งนึกเสียใจทีหลังน้ะ (อันนี้เคยเกิดกะหลาย ๆ คนแล้ว)

3. โดดเรียนวิชาที่อาจารย์โหดหินสุด ๆ สักครั้ง!!

4. พาเพื่อน ๆ ทั้งหลายนำพวงมาลัยมาขอขมาอาจารย์ที่พร่ำสอนสักครั้ง

5. นัดกับเพื่อน ๆ ทั้งห้องไปเที่ยวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเอาไว้ เพราะอีกหน่อย เมื่อเราได้ไปในสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง ความทรงจำที่เราเคยมากับเพื่อนทั้งห้อง ไม่ว่าจะนานผ่านไป 1 2 3 5 10 ปีก็ยังอยู่ตรงนั้นตลอดไป

6. รีบเขียนเฟรนด์ชิพซะ!! ห้ามลืมเลยรู้มั้ย สำคัญมาก ๆ ข้อนี้สุด ๆ

7. ขึ้นไปนำร้องเพลงเคารพธงชาติ หน้าเสาธงสักครั้ง / หรือออกไปพูดหน้าเสาธงว่า "ผมรักเพื่อน ๆ คุณครูทุกคน และ รร.นี้ครับ" กล้ามั้ยล่ะ?

8. ถ่ายรูปกับคนที่เราแอบปลื้มในวันจบการศึกษา งานปัจฉิม

9. รวมพลคน ม.6 ทำความสะอาด รร. ครั้งใหญ่สักครั้ง เป็นการตอบแทนก่อน จะจบจากโรงเรียนไป

10. ร้องเพลงเหล่านี้ กับเพื่อน ๆ สักครั้งก่อนจะอำลาจากกันไป (น้ำตาท่วม)
กว่าจะรัก –XYZ (ซึ้งมากๆเพลงนี้) /
หัวใจผูกกัน – บอย /
เราและนาย – เสก โลโซ /
็Highschool never end – Bowling for Soup (ถ้าพวกอินเตอร์)

11. เก็บรวบรวมความทรงจำดี ๆ ที่ได้รู้จักกับเพื่อน อาจารย์ รวมทั้งประสบการณ์ที่ได้จากโรงเรียนแห่งนี้ ที่ได้รู้จักบทเรียนต่าง ๆ ได้สุข ได้ทุกข์ หัวเราะ และ ร้องไห้ แล้วเก็บมันไว้ในหัวใจตลอดไป


เครดิต : Sanook.com


ทำให้ครบทุกข้อ แล้วเก็บมันไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งนึงในชีวิต เราได้ทำอะไรบ้าง
กระทู้ซ้ำขอภัยค่ะ
ปล. เม้นโหวตก็ดีนะ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2212464#ixzz1QdtFa0MI

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การเลือกมหาวิทยาลัยในอนาคต

การเรียนในระดับมัธยมศึกษามีความละเอียดอ่อนต่อการพัฒนาศักยภาพ ของคนอย่างยิ่ง ด้วยเป็นช่วงเวลาของพัฒนาด้านร่างกายและความรู้สึกนึกคิดในระดับแรกๆ


การเรียนในระดับมัธยมศึกษามีความละเอียดอ่อนต่อการพัฒนาศักยภาพของคน อย่างยิ่ง ด้วยเป็นช่วงเวลาของพัฒนาด้านร่างกายและความรู้สึกนึกคิดในระดับแรกๆ อันต่อเนื่องจากการได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมักได้รับการอธิบายเสมอว่า หากครอบครัวมีความสมบูรณ์ พ่อแม่ให้การเอาใจใส่หรือดูแลบุตรหลานที่ดี ย่อมส่งผลให้เด็กเกิดการพัฒนาศักยภาพของตนอย่างมากด้วย จึงไม่แปลกที่บรรดาพ่อแม่จะให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรหลาน สถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียงจึงเป็นที่ต้องการในการส่งบุตร หลานเข้าเรียน ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการแข่งขันสิทธิ์ในการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียน หรือสถาบันศึกษาที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่อย่างเข้มข้นและรุนแรงในทุกปีการ ศึกษา


ความรู้ความสามารถที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาของการเรียนในระดับมัธยมจึง มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดด้วยเป็นพื้นฐานของการเรียนในระดับสูงหรือระดับ มหาวิทยาลัย กระนั้นการเรียนเฉพาะในช่วงเวลาปกติหรือการเรียนเฉพาะในโรงเรียนจึงไม่อาจ รับรองถึงขีดความสามารถของบุตรหลายได้อย่างเต็มร้อย ปรากฏการณ์ของการสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนในระบบพิเศษจึงเกิดขึ้นอย่าง มากมายและหลายกรณี ผ่านโรงเรียนหรือสถาบันกวดวิชา

กระนั้นกระแสสังคมที่ปรากฏมักเป็นไปในลักษณะของการต่อต้านหรือปฏิเสธด้วย เหตุที่ว่า เป็นเรื่องของการสร้างความกดดันหรือบังคับขู่เข็ญให้เด็กต้องทำตามโดยที่ไม่ รู้ความต้องการของเด็กหรือบุตรหลานของตนที่เพียงพอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองโรงเรียนกวดวิชาในสถานะที่เป็นเพียงสถาบันที่ให้ การแนะนำหรือชี้แนะการทำวิเคราะห์และทำข้อสอบเท่านั้น มิได้เป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความรู้หรือพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนเหมือนเฉก เช่นโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาในระบบ


ในข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ความสำเร็จของการเรียนในระดับพื้นฐานอย่างประถมหรือมัธยมศึกษา อาจเป็นเรื่องยากยิ่งที่วัดระดับความสำเร็จในเชิงความรู้และความสามารถ เพราะช่วงเวลาของการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนยังต้องรอคอยเวลาจนถึงระดับ มหาวิทยาลัยหรือเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงาน แต่โดยทั่วที่ยอมรับในสังคมและครอบครัว ความสำเร็จของการเรียนในระดับประถมและมัธยมศึกษาคือ การสอบหรือผ่านการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เป้าหมายของพ่อแม่ในการสนับสนุนการเรียนของบุตรหลานจึงอาจเป็นคนละด้านกับ องค์กรทางการศึกษาที่มักกล่าวอ้างหรืออธิบายถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กให้ มีความพร้อมในการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะวัดระดับความสำเร็จได้ในเชิงข้อเท็จจริง


เช่นเดียวกันกับเด็กที่เป้าหมายในการเรียนในช่วงเวลาดังกล่าว มักต้องการผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถาบันหรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ เสียงเป็นลำดับแรก ผสมผสานกับความต้องการเข้าเรียนในคณะวิชาที่ตนเองใฝ่ฝันอยากจะนำไปใช้ในการ ทำงานในอนาคต การเรียนเสริมพิเศษผ่านสถาบันหรือโรงเรียนกวดวิชาที่เป็นทางเลือกอันดับแรกๆ ที่สามารถจะช่วยสนับสนุนให้ฝันนั้นเป็นจริงได้ จึงไม่แปลกที่บรรดาโรงเรียนกวดวิชาจะได้รับความนิยมอย่างมากมายมหาศาลใน ปัจจุบัน เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สามารถการันตีถึงการเตรียมความพร้อมในการดูหนังสือ หรือตำราที่ตรงตามเนื้อหาวิชาที่จำเป็นต้องใช้ในการสอบมากที่สุด


กระนั้นโดยข้อเท็จจริงก็อาจไม่แน่เสมอไปที่การเรียนพิเศษในโรงเรียนกวด วิชาที่มีชื่อเสียงจะเป็นสิ่งการันตีในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย หากแต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความรู้ที่พร้อมสำหรับการสอบอย่างแท้จริง เท่านั้น การเรียนเพียงเพื่อได้ชื่อว่าเรียนพิเศษแล้วจึงอาจเป็นเพียงการเข้าสู่กระแส นิยมเท่านั้น และเป็นข้อพึงระวังสำหรับผู้ปกครองที่จำเป็นต้องพินิจพิจารณาให้ดีว่า ลูกหลานของตนเองนั้นมีความตั้งใจจริงมากน้อยแค่ไหนสำหรับการเรียนพิเศษที่ ว่านั้น


อันที่จริงแล้ว หากจะให้บรรลุเป้าหมายการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ตรงตามสาขาวิชาและสถาบัน ที่ต้องการนั้น การวางแผนการเรียนทั้งแบบปกติและพิเศษมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในยุค สมัยปัจจุบัน ด้วยเหตุจำนวนมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาสามารถรองรับได้ในจำนวนที่จำกัด เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาวิชายอดฮิตหรืออยู่ในกระแสความสนใจของผู้เรียน ซึ่งมักเป็นไปตามความต้องการบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาเหล่านั้นในตลาดแรงงาน และด้วยปัจจุบันปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในแต่ละช่วงเวลาที่อยู่ใน อัตราสูง ความต้องของตลาดแรงงานก็อาจมีการปรับแปลงจำนวนหรือปริมาณผู้สำเร็จในสาขา วิชาต่างๆ ได้ตลอดเวลา ดังนั้นการศึกษาข้อมูลความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตก่อนตัดสินใจเรียนจึง มีความจำเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน


ด้วยระบบโลกโลกาภิวัตน์ได้ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองรวมถึงวัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว การเรียนรู้โลกภายนอกที่มีความหลากหลายนับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคนที่มีความรู้เรื่องราวสังคมภายนอกมากย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ อาทิ ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่เป็นด่านแรกของการเรียนรู้วิทยาการต่างๆ นอกจากนี้ยังมีภาษาที่กำลังมีบทบาทอย่างสำคัญในสังคมระหว่างประเทศคือ ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมไปถึงภาษารัสเซีย สเปน หรือภาษาอาหรับ เป็นต้น การเรียนรู้ให้ความเชี่ยวชาญในด้านภาษาต่างๆ ดังกล่าว มีผลอย่างยิ่งต่อการทำงานในอนาคต ด้วยระบบโลกได้เชื่อมประสานกลายเป็นชุมชนโลกที่ไร้พรมแดนไปแล้ว


นอกจากนี้แล้ว นักเรียนที่เรียนจบในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ก็อาจปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ โดยหันไปศึกษาในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยมิต้องพะวงกับปัญญหาค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่แพงเหมือนเช่นการไปศึกษาต่อ ในกลุ่มประเทศยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา และในขณะเดียวกันก็สามารถที่เป็นสถานที่พัฒนาทักษะทางภาษาได้เป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกันกับมาตรฐานการเรียนที่ได้รับการพัฒนาในระดับสูงเช่นเดียวกับ ประเทศตะวันตกอีกด้วย


การศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือมหาวิทยลัยในปัจจุบันมีทางเลือกค่อนข้าง มากและหลายกหลาย โดยที่ค่าใช้จ่ายในการศึกษาทั้งในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาของรัฐภาย ในประเทศกับต่างประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมไปถึงอินเดีย นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถสร้างโอกาสให้กับผู้เรียนทั้งในการมีเพื่อนที่หลากหลายเชื้อชาติ ศาสนาและประเทศ เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ การเมืองและภาษาที่สำคัญ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตได้เป็นอย่างดี


ที่มา "การศึกษาวันนี้"

vredit:Eduzone

แนะนำ วิธีการเตรียมตัวสอบเข้า แพทย์ กสพท 2555

การเป็นหมอเนี่ย จะมีวิธีรับ 2 ทาง คือ
1.รับตรง ก็คือ โควตาพื้นที่นั่นเองเป็นของแต่ละมหาลัยที่จะจัดสอบ(เพื่อให้ง่ายพี่จะเรียกว่ารับตรงนะ)
2.กสพท.[กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย] (พี่เรียกว่ารับกลางเพราะมันรวมทั่วประเทศ)


>>การรับต่างกันอย่างไร?
1.รับตรง อย่างที่พี่บอกไปคือ ข้อสอบจะเป็นของแต่ละมหาลัยออกเอง อย่างพี่เป็นเด็กเหนือพี่ก็จะได้โควตาภาคเหนือ ซึ่งมหาลัยที่รองรับคณะแพทย์ ก็จะเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ความจริงเนี่ย ตอนที่สมัครโควตาภาคเหนือ น้องก็สามารถเลือกมหาลัยอื่นได้นะ
การเลือกในระบบรับตรงโควตาจะต่างจากแอดกลาง(Admission) คือรับตรงจะเลือกได้สูงสุด 2 คณะในแต่ละมหาวิทยาลัยแต่มีสิทธิ์เลือกได้ 4 อันดับ แต่แอดกลางจะเลือกได้ 4 อันดับ มหาวิทลัยใดก็ได้คณะใดก็ได้
อ่านแล้วงงมั้ย? ถ้างงพี่จะให้ตัวอย่าง
ในโควตาภาคเหนือเนี่ย จะมีมหาลัยรัฐให้เลือกคือ มช. มน. มข. มอ. เอกชนก็มี หอการค้า พายัพ ฯลฯ จำไม่ได้ละประมาณนี้ คณะก็แล้วแต่น้องๆ แต่เวลาเลือก! พี่มีสิทธิ์เลือกคณะของมช.ได้แค่สองคณะ และมหาลัยอื่นอีกสองคณะ
เช่น
อันดับ1 : แพทย์ ม.เชียงใหม่
อันดับ2 : เภสัช ม.เชียงใหม่
อันดับ3 : วิศวะฯ ม.ขอนแก่น
อันดับ4 : วิศวะ ม.สงขลา
(พี่ไม่แนะนำให้เลือกตามนี้นะ เป็นแค่ตัวอย่างสมมุติเฉยๆ ถ้าน้องเลือกอับดับ1กับอันดับ2แบบพี่ โอกาสหลุดสูงมาก=_=)
อย่างที่เห็นคือเลือกของมหาลัยเดียวกันได้แค่สองอันดับเท่านั้น พี่เลือกของมช.มากกว่านี้ไม่ได้
แล้วก็น้องสามารถเลือกโครงการเพิ่มได้อีก อาจจะเป็นโครงการ ของหมอ หรือหมอฟันก็ได้

โอเค จบของส่วนรับตรงไป ทีนี้เรามาดูของกสพท.กันบ้าง
2.กสพท. จะเริ่มต้นรับสมัครประมาณเดือนสิงหาคม
คะแนนที่ใช้ก็แบ่งออกเป็น สัดส่วน 70 : 30 คือวิชาสามัญ 70% และวิชาความถนัดแพทย์30%
วิชาสามัญ70 % ก็เอามาแบ่งน้ำหนักให้แต่ละวิชาอีกทีเป็น วิทย์ 40% คณิต 20% อังกฤษ 20% ไทย 10 % สังคม 10%
แล้ววิชาที่สอบวิชาแรกเนี่ย คือความถนัดแพทย์ จะสอบตอนประมาณสิ้นเดือนตุลาคม (เห็นงี้มาสองปีละ) ส่วนวิชาสามัญสอบเดือนมกราคม ประกาศผลก็ กุมภาพันธ์ วิธีเลือกคณะของกสพท.เนื่องจากความขี้เกียจส่วนตัว~ พี่แนะนำให้อ่านหนังสือความถนัดแพทย์เพราะสอนอยู่แล้ว~ (โป๊กก!!) เจ็บอ้ะTOT ทำเค้าทำไม!!
กสพท.จะมีสถาบันแพทย์ให้เลือกอยู่ 12สถาบัน และ ทันตะฯ 5 สถาบัน วิธีเลือกง่ายๆ... น้องก็เอาตารางคะแนนปีก่อนๆมากาง แล้วก็นั่งดู แล้วก็หยิบออกมา 4 มหาลัยที่ชอบก่อน จากนั้นก็เรียงคะแนน อ้ะๆ ดูที่คะแนนต่ำสุดของปีก่อนนะ ไม่ใช่สูงสุดนะน้อง- -* แต่บางคนอาจจะเกิดปัญหาว่า....

เดินช๊อปปิ้ง หยิบมา 4 มหาลัย เป็นคณะแพทย์หมด เลือก จุฬา รามา ศิริราช วชิระ ^^~ จากนั้นเพิ่งมาแหกตาว่าO_O! เฮ้ยทำไมคะแนนติดกันหมด....เสี่ยงหลุดโคตร ยิ่งจุฬาฯ กับ ศิริราช บร๊ะเจ้าจ๊อดดด!! น้องไม่ต้องตกใจไป- -
คะแนนมันติดๆกันหมดอยู่แล้ว เพราะงั้น
อันดับ 1 : เลือกมหาลัยและคณะที่ชอบที่สุด ไม่ต้องสนคะแนนมัน
อันดับ 2 : เลือกมหาลัยที่อยากเรียนรองลงมาจากอันดับ1 และคะแนนต่ำกว่าอันดับ1
อันดับ 3 : เลือกมหาลัยที่อยากเรียนรองลงมาจากอันดับ2 และคะแนนต่ำกว่าอันดับ2
อันดับ 4 : เลือกมหาลัยที่อยากเรียนรองลงมาจากอันดับ3 และคะแนนต่ำกว่าอันดับ3
แต่จริงๆ ถ้าอยากเรียนเนี่ย ไม่ควรเลือกที่คะแนนติดกันมากเกินไปนะคะ อย่างเช่น
อันดับ 1 : คณะแพทย์ จุฬาฯ
อันดับ 2 : คณะแพทย์ รามา
อันดับ 3 : คณะแพทย์ มช.
อันดับ 4 : คณะแพทย์ มน.
อะไรแบบนี้ก็ได้ คือถ้าน้องไม่ยึดติดกับสถาบันนะ ควรเลือกคะแนนห่างๆหน่อยก็ดี

ปัญหาของหลายๆคนอาจจะมีว่า.....ก็เค้าอยากอยู่มน.อ่ะ มน.ใกล้บ้านเค้า!! แต่ที่หยิบมาก็มี จุฬา พระมงกุฎ มช. มน.
อยากเอามน.ไว้อันดับหนึ่งอ่ะ แต่เผอิญว่า....มน.มันคะแนนต่ำสุดน่ะสิน้องเอ๊ย=_=" ถ้าอยากได้มน.จริงๆ น้องต้องตัด3มหาลัยแรกออก แล้วเลือกเป็นทันตะแทน เพราะคะแนนต่ำกว่า (แต่พูดให้เข้าใจก่อนนะ พี่ไม่ได้มีเจตนาดูถูกมหาลัยนะคะ แต่อ้างอิงจากคะแนนต่ำสุดสูงสุดของปี53แล้วที่พี่ยกเป็นมหาวิทยาลัยรัฐมาพูด เพราะน้องส่วนใหญ่ก็มองแต่มหาลัยรัฐก่อนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?)

>>อาจจะมีคำถามว่า.....พี่คะ ถ้าหนูเลือกไม่ครบ4อันดับได้ไหมคะ
ได้ค่ะ พี่ก็เลือกไม่ครบ แต่ไม่ว่าน้องจะเลือกครบหรือไม่ครบ น้องก็เสีย 1,215 บาทอยู่ดี /O\ 1200ค่าสมัคร อีก15บาทค่าธรรมเนียมธนาคาร แต่ถ้าน้องไม่มีมหาลัยที่อยากได้จริงๆ ก็ไม่ต้องเลือกให้ครบนะคะ มันก็แล้วแต่น้อง ว่าน้องอยากเสี่ยงดวงแค่ไหน เพราะมันไม่ได้ประกาศรอบเดียว แต่บางทีกสพท.ก็มีประกาศรอบสอง รอบสามออกมา ซึ่งคะแนนจะลดลง น้องก็มีสิทธิ์ได้

สมมุติ
ประกาศคะแนนรอบที่1
คะแนนต่ำสุดจุฬาฯ 66.5436 คะแนน
คะแนนต่ำสุดมช. 63.1549 คะแนน

ประกาศคะแนนรอบที่2
คะแนนต่ำสุดจุฬาฯ 64.9832 คะแนน

น้องมีคะแนนในมือ 65.0000 คะแนน และน้องเลือกไว้สองมหาลัยคือจุฬาอันดับ1 มช.อันดับ2
ถ้าน้องเลือกแบบนี้ น้องจะติดมช.แทนที่จะติดจุฬา
แต่ถ้าน้องเลือกจุฬาฯอันดับ1เดี่ยวๆ รักเดียวใจเดียวกล้าเสี่ยง! รอประกาศรอบ2 น้องจะติดจุฬาฯสมใจ....


>>แล้วพวกโครงการคืออะไร? เราเลือกมันได้ตอนไหน?
โครงการจะแบ่งออกเป็น 3 โครงการเฉพาะของแพทย์(เท่าที่พี่รู้ตอนนี้) ถามว่าโครงการนี้มีที่ไหนบ้าง มีทั่วประเทศที่รับคณะแพทย์เลย แล้วแต่พื้นที่จังหวัดที่น้องอยู่ว่า ไปสังกัดมหาวิทยาลัยไหน อย่างภาคเหนือก็ขึ้นกับคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ นครสวรรค์ ภาคกลางบางจังหวัดก็ขึ้นกับจุฬาฯบ้าง มหิดลบ้าง น้องต้องไปดูว่าตัวเองมีสิทธิ์สอบของที่ไหนบ้าง เราเลือกโครงการได้ ตอนที่สมัครสอบโควตา....
1.โครงการ One District One Doctor [ODOD] เรียกง่ายๆว่า โอดอท สำหรับภาคเหนือ คนที่มีสิทธิ์เลือกโครงการนี้ได้ ชื่อ>ตัวเอง< ในทะเบียนบ้าน ที่อยู่ ต้องไม่ใช่อำเภอเมือง [หรือ] ชื่อพ่อแม่น้อง ที่อยู่ในทะเบียนบ้าน เป็นต่างอำเภอ และอยู่มาแล้วอย่างน้อย 3 ปี 2.โครงการ Collaborative Project to Increase Production of Rural Doctor [CPIRD] เรียกว่า แพทย์ชนบท หรือเรียกเป็นชื่อโครงการไปเลยว่า ซี-เพริท แต่ส่วนมากก็เรียกกันย่อๆว่า แพทย์ชนฯ เป็นอันรู้กัน 3.โครงการ Mega Projects เรียกเลยว่า แพทย์เมกะฯ หรือ โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม แม้จะเป็นการผลิตแพทย์เพิ่มเหมือนกัน แต่ว่าต่างจาก CPIRD นะ >>แต่ละโครงการต่างกันอย่างไร?
1.ODOD : เรียน 3 ปีแรก(ชั้นพรีคลินิก) ในมหาวิทยาลัย และ 3 ปีหลัง(ชั้นคลินิก)ที่จังหวัดบ้านเกิดตามทะเบียนบ้านตอนแรก ระยะเวลาการใช้ทุน 12 ปี ถ้าอยากเรียนต่อเฉพาะทาง มันจะเหมือนกับเล่นเกมส์ ปกติเราเล่นเกมส์เนี่ย โผล่มาตอนแรกก็อาจจะให้เลือกได้แค่สนามเดียวหรือเซิฟเวอร์เดียวก็คือพวก beginner หรือ practise ทำนองนั้น ยิ่งเลเวลสูงยิ่งปลดด่านยากๆ ให้เลือกเล่นได้ใช่ไหม นั่นแหละเหมือนกัน ยิ่งเราใช้ทุนนานไปเรื่อยๆ สาขาที่เราอยากเลือกเรียนต่อก็จะค่อยๆปลดออกมาให้เราได้เลือก มันแล้วแต่ว่าน้องจะเจอกี่ปี สมมุติ ใช้ทุนไป 3 ปี เฉพาะทางเด็กเปิดให้เรียนแล้ว ใช้ไปอีก 2 ปี ศัลยกรรมกับอายุรกรรมเปิดให้เรียนแล้ว ประมาณนี้
2.CPIRD : เรียน 3 ปีแรก(ชั้นพรีคลินิก) ในมหาวิทยาลัย และ 3 ปีหลัง(ชั้นคลินิก) ในจังหวัดที่แต่ละมหาลัยกำหนด อาจจะเป็นบ้านเกิดตัวเองหรือไม่ก็ได้ ระยะเวลาใช้ทุนเหมือนปกติ 3 ปี^^
3.Mega projects : เรียน 3 ปีแรก(ชั้นพรีคลินิก) ในมหาวิทยาลัย และ 3 ปีหลัง(ชั้นคลินิก) จะเลือกลงได้แต่ก็แค่ในจังหวัดที่มหาลัยกำหนดเหมือนกัน ระยะเวลาใช้ทุนเหมือนปกติ 3 ปี^^

>>แล้วโครงการต่างกับโควตารับตรงและกสพท.อย่างไร?
มันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกค่ะ ต่างกันตรงที่ความหน้าตาดี ใครเลือกโควตา ก็หน้าตาดีหน่อย55+(/me เผ่น) ล้อเล่น!~ ก็ต่างกันเรื่องสถานที่เรียนตอนปี4-6นั่นเอง ถ้าติดโควตาหรือกสพท.ก็จะได้เรียนที่เดิม6ปีเต็ม! แต่ถ้าเป็นโครงการ ก็อย่างที่บอกคือ ต้องไปเรียนในโรงพยาบาลพื้นที่ที่มหาลัยกำหนดไว้ ส่วนที่ต่างอีกเรื่อง(เรื่องนี้พี่ไม่ค่อยแน่ใจแต่เท่าที่ได้ยินมานะ)ก็คือ การเลือกสถานที่ใช้ทุน ถ้าน้องๆ เป็นโควตาหรือกสพท. น้องจะมีสิทธิ์เลือกก่อน แต่ถ้าคนเลือกจังหวัดนั้นเยอะ ก็ต้องจับฉลากเอาเหมือนกัน คนที่ได้เลือกรองลงมาก็คือ โครงการเมกะโปรเจ็ค สุดท้ายคือแพทย์ชนฯ ส่วนโอดอท ไม่มีสิทธิ์เลือก เพราะต้องกลับไปใช้ทุนอำเภอตัวเองอยู่แล้ว และใช้มากกว่าคนอื่น 12 ปี(กะว่าแก่อยู่กับที่เลยทีเดียว= =)

>>ถ้าเราไม่ใช้ทุนได้ไหม?
ได้ค่ะ แต่ด้วยสามัญสำนึกแล้ว ควรจะใช้อย่างต่ำก็ 1 ปีนะพี่ว่า = =a พวกใช้ทุน 3 ปีเนี่ย ตอนทำสัญญาพี่เซ็นไปรับรองว่าถ้าไม่ใช้ก็จ่าย4แสนบาท แต่สมมุติพี่ใช้ทุนไป1ปี จำนวนเงินก็ลดลงตามเวลาที่เหลือนั่นแหละค่ะ แต่โอดอทรู้สึกจะเสียมากกว่านั้น เพราะเป็นโครงการที่ล็อกตัวแพทย์ไว้เลย ต้องการในพื้นที่ชนบทมาก

แนะนำเรื่องการสมัครสอบ+วิธีเลือกไปแล้ว.... เรื่องต่อมาที่(โดนบังคับให้)แนะนำก็คือ...เรื่องการอ่านหนังสือ

จุดเริ่มต้นในการเริ่มอ่านหนังสือ : อันนี้ไม่เกี่ยง ใครเริ่มเร็วก็ได้เปรียบ เริ่มช้าก็เสียเปรียบหน่อย พี่เริ่มอ่านเหยาะแหยะ(ประมาณพลิกๆไม่กี่หน้าแล้วก็วางไปเล่น~)ตั้งแต่ปิดเท อมใหญ่ม.5ขึ้นม.6 แต่พี่ก็เรียนเนื้อหายังไม่จบนะ แต่ปิดเทอมเนี้ยพี่ตั้งใจเรียนมากขึ้น เวลาไปเรียนพิเศษก็ไปก่อนเวลานิดหน่อย การบ้านที่อ.สั่งก็ทำทุกครั้ง เวลาที่เริ่มอ่านพี่ไม่ได้เน้นอย่างจัดตารางอ่านหนังสือ(เพราะเป็นคนที่ชอบ แหกกฎ^^") พี่รู้ตัวว่าพี่ทำตามตารางไม่ได้หรอก เสียเวลาทำด้วย แต่พี่มีวินัยกับตัวเองที่ว่า ถ้าอ่านแล้วต้องอ่านจริงๆนะ พี่กำหนดรางวัลและบทลงโทษให้ตัวเอง บนโต๊ะพี่เขียนติดโพสอิทแปะไว้ ด่าตัวเอง "อย่าให้มันเป็นแค่เพียงคำพูดที่สวยหรูสิ...พูดแล้วต้องทำให้ได้" หรือให้กำลังใจ "เพราะแสวงหามิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วย ดังนั้นลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"อันหลังเป็นคำพูดของขงเบ้ง(สามก๊ก) พี่ค่อนข้างเชื่อนะ เพราะพี่เป็นคนที่ไม่ค่อยมีดวงเท่าไร แบบไม่อ่านหนังสือเลย คะแนนมันก็ออกมาตามผลการกระทำนั่นแหละ แต่ถ้าอ่านไปบ้าง เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจ ถึงมั่วบ้างคะแนนก็ออกมาใช้ได้

แล้วถามว่าพี่ใช้เวลาช่วงไหนอ่านบ้าง...อันที่จริงก็ไม่มีตายตัวนะ วันไปเรียนปกติก่อนละกัน พี่ลองทำไอ้ที่รุ่นพี่เขาบอกว่าดีมาหมดแล้ว อย่างบางคนก็บอกว่า หลับ4ทุ่ม ตื่นมาตี4อ่านหนังสือ(สำหรับเด็กตจว.แล้วเป็นปกติที่จะตื่น7โมงน้องที่อยู่ กรุงเทพไม่ต้องแปลกใจ- -)พี่ทำอยู่ช่วงหนึ่ง จนเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ละ อ่านตอนเช้าหิวก็หิว แถมสมองยังตื่นไม่เต็มที่อีกด้วย พี่ก็เปลี่ยน กินข้าวเย็น+แปรงฟันเสร็จประมาณ6โมงก็เริ่มอ่าน จน2ทุ่มอาบน้ำ+พัก 3ทุ่มอ่านต่อถึงเที่ยงคืน แล้วก็หลับ ตื่นเช้ามา 6โมง อาบน้ำแต่งตัวไรเสร็จ6ครึ่ง อ่านต่อ 7โมง15ทานข้าวแล้วไปโรงเรียน ส่วนวันหยุด...ตื่นมาทำไรเสร็จก็อ่านเลย มีพักกินข้าวเที่ยง พักเล่นบ้าง15-30นาที แล้วแต่ เรียกได้ว่าอ่านทั้งวัน ถ้าไม่มีงาน น้องจะเห็นว่า ตารางเวลาพี่ มันจะไม่เหมาะกับน้องเลย ถ้าน้องเป็นเด็กกรุงเทพฯ ที่ต้องตื่นแต่ตี4เป็นปกติอยู่แล้วเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน เพราะฉะนั้นพี่ถึงบอกแล้วว่า เราต้องปรับตัวเอง ต้องรู้ตัวเอง ต้องสอนตัวเองทุกวัน เราโตขึ้นทุกวัน เราต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองในอนาคต ระเบียบวินัยการอ่านหนังสือแค่นี้เราวางเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช สำหรับเด็กตจว.อยากลองแบบพี่ก็ได้ แต่เด็กกรุงเทพ ในเมื่อน้องเสียเปรียบตรงที่ว่า เสียเวลาในการเดินทางไปเรียนนาน ดังนั้นน้องควรอ่านหนังสือในรถไปด้วยตอนที่รถติดไฟแดงหรือเคลือนไปช้าๆ จะได้ดึงส่วนของเวลาที่เสียไปกลับมา แต่ต้องระวังถ้ารถสั่นมากหรือแสงน้อยอย่าอ่านเพราะสายตาเสีย

อีกเรื่องที่น้องมักจะประสบปัญหากันคือเรื่องการบ้านและกิจกรรมที่โรงเรียน แล้วมันจะมีเด็กอยู่สองประเภทคือ

1.พวกที่ไม่อ่านหนังสือทำงานให้เสร็จก่อน
2.พวกที่อ่านแต่หนังสือไม่ทำงาน
พี่บอกได้เลยว่าพี่เป็นประเภทที่1 คือพี่คิดว่าเวลาเราทำการบ้านเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ความรู้ เราก็ได้ความรู้แต่อยู่ในรูปแบบงานที่ต่างออกไปเท่านั้นเอง คือพี่ไม่ได้ว่าประเภทที่2นะ พี่ก็เข้าใจอยู่ว่า ไหนๆก็จะจบม.6แล้ว ถ้าติดรับตรงไป เกรดก็ไม่เห็นต้องไปแคร์เลย ซึ่งจริงๆพี่เองก็เห็นด้วย แต่พี่ก็ดันแคร์=_=" เพราะพี่คิดว่า ไหนๆก็ปีสุดท้ายของม.ปลายแล้ว ทำอะไรให้มันสุดๆของชีวิตสักครั้ง งานก็เอา กิจกรรมก็เอาบ้าง หนังสือก็อ่าน บางกิจกรรมเราเลี่ยงไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะงานห้องเนี่ย ม.6มักจะไม่ค่อยสนใจกัน มักจะคิดว่าเออ งานห้องเดี๋ยวก็มีคนทำเอง หารู้ไม่ว่าทุกคนดันคิดแบบเดียวกันหมด....เพราะงั้นไม่ใช่แค่ตัวเองจะเอนท์ คนอื่นก็เอนท์ด้วย พี่เชื่อว่าคนทำดียังไงก็ต้องได้ดี มันไม่ใช่แค่ว่าเราเครียดคนเดียว คนอื่นเขาก็เป็น เห็นใจกันให้มากๆ แล้วน้องจะพบว่าความเห็นแก่ตัวของเราจะลดลง งานมีถ้าช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เดี๋ยวมันก็เสร็จ งานเสร็จทุกคนก็ไปรับผิดชอบตัวเองต่อแล้ว
น้องอยากเป็นแบบไหนน้องก็เลือกเอาละกันนะ....

โดยส่วนตัวพี่เป็นคนที่ไม่มีระเบียบวินัยในการอ่านหนังสือเท่าไร=_=// เลยแนะนำไม่ค่อยจะถูก แต่พี่จะบอกวิธีทำของพี่ละกัน

1.เอาหนังสือ ชีท ทุกอย่าง ที่เรียนพิเศษหรือในโรงเรียนที่ดูมีประโยชน์ต่อการเพิ่มความรู้อันน้อยนิดใน หัวให้มากขึ้น ออกมาจัดเรียงเป็นวิชา แล้วก็เรียงตั้งแต่ ม.4-ม.6
2.รื้อตู้หนังสือจัดใหม่ l ไทย+สังคม l เคมี l ชีวะ l ข้อสอบ l อังกฤษ l คณิต l
3.ส่วนตัวพี่ชอบชีวะ พี่เริ่มอ่านชีวะก่อน เพราะพื้นฐานชีวะพี่แน่นกว่าวิชาอื่น แนะนำน้องที่กำลังหัวปั่น วิชานั้นก็ต้องอ่าน วิชานี้ก็ต้องอ่าน พี่อยากให้น้องสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วค่อยมองว่าน้องพิจารณาว่าชอบวิชาอะไร แต่! มันจะมีประเภทที่ว่า พี่เค๊อะ~ หนูถนัดวิชางานบ้านอ่ะค่ะ....~ หรือ พี่ครับ ผมไม่ถนัดซักวิชาอ่ะ << =_= งี้พี่ก็ช่วยน้องไม่ได้นะคะ ตัวใครตัวมันละ ยังไงก็ต้องเริ่มอ่านซักวิชา เอาที่เกลียดน้อยที่สุดก็ได้ 4.อ่านทุกวัน ให้มันสม่ำเสมอ แรกๆ น้องจะขี้เกียจ โอ๊ย!~ อ่านตั้ง 15 นาทีแล้ว ไปพักเล่นเฟซบุ๊คดีกว่า << แบบนี้ห้ามนะน้อง- - วันแรกพยายามเริ่มต้นให้มันนานหน่อย สัก 1 ชม. แล้วน้องก็ตั้งรางวัลกับตัวเอง ถ้าฉันตั้งใจอ่านครบ1ชม.นี้ เดี๋ยวจะให้พักเล่นครึ่งชม. (โคตรคุ้ม^^~) แต่น้องต้องตั้งใจจริงๆนะ ไม่ใช่มัวแต่ไปมองเวลา เมื่อไรจะ1ชม.ว้า~ หรือนั่งคิดว่า เดี๋ยวตอนพักจะเล่นไรดี คุยโทรศัพท์กับแฟน ไรงี้ ห้ามทำเด็ดขาด- - แน่นอนว่ามีรางวัล.....เราต้องมีบทลงโทษ หึหึหึ -,.....,-+ ถ้าพี่ว่อกแว่ก ไม่ยอมอ่านหนังสือ พี่จะลงโทษตัวเองโดยการอดเล่นคอมไปในวันนั้น ห้ามมีข้ออ้างใดๆ ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่ ยกเว้นงานกลุ่มที่มันทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนด้วย หลังๆน้องจะอ่านจนติดไปเอง ชนิดที่ว่า ไม่ได้อ่านแล้วรู้สึกอะไรมันขาดๆไป.... >>ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะอ่านหนังสือ

1.ยอดฮิตมาก! อ่านแล้วหลับ.... : ถามว่าพี่เป็นรึเปล่า? พี่ก็เป็น วันไปโรงเรียนปกติ พี่อ่านตั้งแต่อาบน้ำเสร็จก็2ทุ่ม - เที่ยงคืน อาบน้ำตอนแรกมันยังไม่ง่วงหรอก ผ่านไปสักพักจะเริ่มง่วง วิธีแรก ตบหน้าตัวเองเบาๆ พอเรียกสติ ไปสักพักเริ่มไม่ไหว ลุกเดินไปล้างหน้า กลับมาอ่านต่อ ขั้นสุดท้ายรู้สึกสมองล้าไม่ไหวแล้ว ใช้งานมันหนักทั้งวัน ให้หลับตา ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือ ให้เอาแขนมาเท้าคางไว้ ห้ามฟุบกับโต๊ะเด็ดขาด เพราะมันจะหลับไปจริงๆ=_= แล้วน้องก็ปล่อยให้ตัวเองเคลิ้มๆสะลึมสะลือ จนถึงจุดที่คิดว่าตัวเองใกล้จะหลับแล้ว ให้กระชากตัวเองออกมาจากภวังค์อย่างเร็วๆ อาจจะเอาแขนลงทันที (ระวังหน้าอย่ากระแทกกับโต๊ะก่อนล่ะ) น้องจะงงๆก๊งๆนิดหน่อย แต่จะรู้สึกสดชื่นขึ้น เพราะสมองน้องได้หลับไปนิดหนึ่งแล้ว เริ่มอ่านต่อได้

2.อ่านแล้วไม่เข้าหัว : ไม่ใช่อ่านแล้วไม่เข้าใจนะ แต่อ่านแล้วไม่เข้าหัวคือเกิดอาการที่ว่า...ขณะนั้นในหัวกำลังคิดฟุ้งซ่าน อยู่ หลายๆเรื่องผสมปนเปกัน เช่น กังวลว่าจะอ่านทันไหม? เมื่อกี้ข่าวสึนามิว่าไงบ้างมันจะบอกข้อสอบสังคมไหมว้า? แฟนทำตัวห่างเหินหรือว่ามีกิ๊ก? นี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องอ่านไม่เข้าหัว ก็เล่นให้สมองคิดเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเอาจะส่วนไหนมาทำความเข้าใจเนื้อหา เพราะงั้นขณะอ่าน ให้ตัดความคิดเรื่องพวกนี้ออกไปให้หมด โฟกัสสายตาไปที่ตัวหนังสือ ไม่ใช่ว่าเพ่งนะ แต่โฟกัสจ้องไปที่มันเฉยๆ ถ้ายังไม่เลิกคิดให้อ่านเนื้อหาดังๆ สักพักจะดึงตัวเองกลับมาสนใจเนื้อหาได้ พอดึงได้ปุ๊ป รีบฉวยโอกาสนี้ อ่านแล้วตั้งคำถามว่า เมื่อกี้เราเข้าใจมากน้อยแค่ไหน คิดคำถามให้ตัวเอง (สมมุติตัวเองเป็นครูแล้วจะออกข้อสอบให้นักเรียน)เหมือนเก็งข้อสอบไปในตัว ว่า น่าจะออกแนวนี้

3.อ่านแล้วไม่เข้าใจ : สูตรนี้มันมาจากไหน? พิสูจน์ยังไง เหตุผลคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ขั้นแรกของพี่คือ เปิดอินเตอร์เน็ต เสิร์ชเลย แต่ข้อมูลมันจะกระจายเป็นวงกว้าง บางทีไม่มีคนย่อยข้อมูลให้เราเหมือนที่เรียนพิเศษ เราต้องนั่งเก็บรายละเอียดเอง ซึ่งจะช้า แต่ถ้าน้องเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ น้องจะพบว่า น้องลิ้งเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้าหากันได้หมด ถ้ามีความรู้ตัวนี้ พอคิดลิ้งได้ ก็จะเริ่มสนุกกับการคิดแล้วทีนี้
แต่ถ้าพี่หายังไงก็ไม่เจอ หรือเริ่มอารมณ์เสียกับข้อมูลที่มากและไม่ตรงคำถามพี่ พี่ก็จะจดใส่กระดาษไว้ แล้วไปถามครูที่โรงเรียน ครูที่โรงเรียนน้องอย่าไปดูถูกว่าไม่เก่งเท่าครูที่เรียนพิเศษนะ บางทีท่านแค่ถ่ายทอดให้คนส่วนมากฟังไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง แต่ท่านก็เก่ง เพราะจบจากสาขาวิชาที่ท่านถนัด น้องเข้าไปหาท่านเถอะ แม้ว่าท่านจะดุ แต่สำหรับถ้าเป็นครู พี่ชอบนะ เด็กที่ตั้งใจใฝ่หาความรู้นอกห้องเรียน
แต่ถ้าน้องบังเอิญเจอครูที่ยกอารมณ์เหนือเหตุผล น้องก็พยายามเลียงไปหาครูท่านอื่นละกัน อย่าไปหาเรื่องอะไรเลย เพราะคนที่เสียเปรียบมีแต่เรา ถ้าน้องเจอแบบนี้ พี่อยากให้น้องเก็บไว้เป็นบทเรียนชีวิตมากกว่าว่า เออ นี่นะ เราไม่ชอบผู้ใหญ่แบบนี้ โตขึ้นเราจะไม่เป็นแบบนี้นะ เราจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆรุ่นต่อไป ให้เขานับถือเราด้วยความรู้และความสามารถที่เรามี ไม่ใช่เคารพเพียงเพราะอาวุโสของเราเท่านั้น


>>>หนังสือแต่ละวิชาที่พี่อ่าน

ชีวะ : พี่อ่านหนังสือของหมอพิชญ์ทั้งหมด (^^โปรโมตๆ แต่ไม่เห็นจะได้แคมเบลเลยอ่ะ555+) ตอนพี่เรียนมันยังเป็น5เล่มจบอยู่ เดี๋ยวนี้เป็น6เล่มจบแล้วนี่นะ พี่เรียน5เล่มนี้ก็ไม่เรียนคอร์สเอนฯแล้ว แล้วก็ไปตั้งใจเรียนในห้อง + ทำแบบฝึกหัดมากๆ นอกจากเรียนพิเศษกับหมอพิชญ์ พี่ยังเรียนพิเศษกับอาจารย์ในโรงเรียนพี่อีกด้วย ซึ่งอาจารย์เป็นคนที่ความรู้แน่นปึกมากๆ ฮาร์ดคอดีพี่ชอบ(ซาดิสม์555+ล้อเล่นๆ) ด้วยความชอบบวกกับทบทวนเยอะ ทำให้พื้นฐานพี่แน่น ตอนทำข้อสอบอ่านแล้วกาได้เลย แทบไม่เสียเวลา จะได้เก็บเวลาไปทำฟิสิกส์กับเคมีเยอะๆ ถามว่าพี่ทวนมากแค่ไหน....ชีวะพี่เริ่มตั้งแต่ม.4แล้ว อ่านทวน รวมทั้งจดสรุปย่อดึงเนื้อหาออกจากหนังสือ ถามว่าเปิดหนังสือมั้ย เปิดนะ=_=a เพราะพี่ไม่เก่งขนาดที่ว่าปิดหนังสือเขียนได้ ถ้าให้ปิดก็ได้ แต่พี่ไม่มั่นใจว่ามันจะถูกชัวร์รึเปล่า พี่จดออกมารอบหนึ่ง แล้วมานั่งอ่านที่ตัวเองจดอีกรอบ หนังสือที่พี่ลอกออกมาก็คือหนังสือ 5 เล่มของหมอพิชญ์ เสริมส่วนที่หมอพิชญ์ขาดไปแต่อาจารย์พี่สอน ทำให้มันดูสมบูรณ์ขึ้น

เคมี : ตอนนั้นพี่โง่เคมีมาก ชนิดที่ว่า คำนวณปริมาณสารไม่เป็นอ่ะน้อง - - สูตรอะไรพี่ไม่รู้เรื่องเลย เพราะพี่แอนตี้เคมีตั้งม.4 ปิดเทอมซัมเมอร์พี่ทุ่มให้คอร์สเดียวเลยคือคอร์สเอนฯ อ.อุ๊ ตอนที่ทำการบ้านนะน้องเอ๊ยยย ไม่อยากจะบอก น้ำตาพี่งี้แทบไหล ทำไม่ได้เลยอ่ะ โมโหตัวเองด้วยที่ว่าตอนนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียน แต่พี่ก็ทำจนเสร็จนะ ทำไม่ได้ก็มั่วไป พยายามทำนั่นแหละ จนมันเสร็จ ตอนนั้นจำได้เลยว่า การบ้านปริมาณสารนั่งทำตั้งแต่5โมงเย็น-ตี1 =_=" เป็นอะไรที่พี่เข็ดมาก พอจบคอร์ส เหมือนกับว่า เคมีมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ เพียงแค่เราทุ่มเทและตั้งใจกับมันมากแค่ไหน พอพี่เริ่มคิดบวกกับวิชาที่แอนตี้ ตอนที่พี่ท้อในการเรียนพี่ก็คิดแบบนี้ เรายังตั้งใจไม่พอ แค่นี้เอง เราต้องทำได้สิ นอกจากอ่านของอ.อุ๊แล้ว พี่ก็ทำข้อสอบ15พศ.ด้วย แต่ทำไม่หมด =_=" แบบว่าไม่ทัน แหะๆ

คณิต(เลข) : พี่ก็ชอบคำนวณนะ แต่ไม่ชอบแบบพวกโคนิคอ่ะ วงกลม วงรีไรเงี้ย เกลียดมาก แต่พี่ชอบพวก แคลฯ ฟังก์ชัน ตรีโกณ แบบนี้มากกว่า มันก็แล้วแต่คนนะน้อง แต่พี่ศิษย์สำนักเดอะเบรน 55+ แต่ไม่ว่าน้องจะเรียนที่ไหน น้องเก็บความรู้ได้เท่าไร มันขึ้นอยู่กับว่าน้องตั้งใจกับมันแค่ไหน ฟังเสียงมันแค่ไหน บทที่พี่ไม่ชอบพี่ก็พอทำให้เอาตัวรอดไปได้ เลขพี่อ่าน 5 เล่ม คอร์สเอนฯเดอะเบรนเช่นกัน + ทำโจทย์ที่พี่ๆให้เป็นการบ้าน

อังกฤษ : พี่เรียนenconceptงับ เนื่องจากครูสมศรีไม่เคยมาเปิดเชียงราย เลยไม่เคยเรียน=_= อย่าถามว่าเรียนที่ไหนดีกว่า เพราะพี่ก็ตอบไม่ได้ นอกจากอ่านของพี่แนนแล้วพี่ก็ทำ Ax22 ทำไม่หมดเหมือนกัน แต่ทำไปได้เยอะอยู่นะ ก็ถึงเอนท์ของปี48อ่ะ ตอนทำ ไม่ใช่แค่ทำแล้วตรวจตามเฉลยนะ เฉลยแล้วก็เขียนศัพท์ที่เราไม่รู้ลงในเทสด้วย (หนังสือเรานี่ อยากเขียนไรก็ได้ ใครจะทำไม! 555+<< เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งหมั่นไส้พี่55+) ความถี่ในการทำข้อสอบก็แล้วแต่อารมณ์=_= (นิสัยไม่ดีเลยเนอะ อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะ^^") แต่ก่อนทำบทถัดไป กี่ก็นั่งอ่านที่ตัวเองจดไว้ พวกศัพท์ พลิกตั้งแต่หน้าแรก-หน้าที่จะทำอ่ะ ฟิสิกส์ : เอ่อ....เรื่องนี้น่าอายมาก 555+ เพราะพี่อ่านไม่ทันT^T พี่เลยจำเป็นต้องทิ้ง แต่พี่ตั้งใจเรียนในห้องอยู่แล้วนะ!! เลยได้ตั้งบทหนึ่ง ><" บทการเคลื่อนที่ง่ะ 55+ แต่พี่ไม่แนะนำให้น้องทิ้งนะคะ ถึงแม้ว่าหมอจะไม่ต้องใช้ฟิสิกส์ แต่น้องก็ต้องเรียนตอนปี1อยู่นะ แถมตอนสอบเข้า คะแนนฟิสิกส์จะเป็นตัวช่วยดึงวิชาอื่นๆด้วย เพราะงั้นตั้งใจอ่านนะ แล้วก็ต้องตั้งใจเรียนในห้องด้วย

ไทย : ปกติพี่ไม่เรียนพิเศษไทย เพราะพี่ถือว่าเป็นคนไทย ภาษาบ้านเกิดเราเองแท้ๆ ยังเรียนให้ดีไม่ได้ แล้วจะไปเรียนภาษาอะไรได้ดี - - ภาษาไทยไม่ได้ยากเลย ถ้าน้องตั้งใจเรียนในห้อง ทำโจทย์บ่อยๆ เรื่องที่พี่แนะนำให้เก็บอย่างแรง และทำความเข้าใจกับมันให้เยอะๆคือ พวกรสในวรรณคดี ถ้าน้องมองตัวนี้ทะลุปรุโปร่งน้องจะสบายขึ้นเป็นกอง แต่แน่นอนพี่เริ่มด้วยคำว่าปกติไม่เรียน....แปลว่าพี่ก็เรียนไงสุดท้าย5555+ พี่ไปติวโควตาภาษาไทยกับอาจารย์ธตรฐ(ชื่ออาจารย์อ่านว่า ทะ-ตะ-รด) ซึ่งถ้าไม่เรียนพี่คงไม่ได้มากกว่านี้=_=" พวกคำ ครุ ลหุ พี่ไม่รู้เรื่องเลย แต่พอไปจำเทคนิคของอาจารย์ ทำให้ทำพวกนี้ได้ทันที
ครุ = เสียงหนัก มีตัวสะกด สระเสียงยาว เช่น คุณครู
ลหุ = เสียงเบา ไม่มีตัวสะกด สระเสียงสั้น เช่น คะ ค่ะ
อ้อ! มีอีกเรื่องที่น้องๆมักจะใช้ผิดกันเยอะ สมัยนี้=_=
เรื่อง ค่ะ กับ คะ ง่ายมากวิธีแก้ น้องลองออกเสียงตามสิ ค่ะ น้องจะรู้สึกเสียงมันต่ำใช่ไหม ลองนึกดู เวลาเราพูดเสียงต่ำเราพูดตอนไหน? ปิ๊งป่อง! ตอนที่ใช้รับคำใช่ป่ะ อย่างเช่น พี่ถามว่า ทำอะไรอยู่ น้องตอบ ทำใจค่ะ
ส่วนคำว่าคะ ลองออกเสียงดู เสียงมันจะสูง เวลาน้องใช้เสียงสูงเนี่ย น้องลงท้ายตอนไหน? น้องจะใช้ตอนที่เป็นคำถามถูกไหม? เช่น ทำอะไรอยู่คะ ช่วยไหมคะ
ถ้าไม่อยากให้ผิด เวลาพิมพ์หรือเวลาเขียน ให้ลองออกเสียงในใจก่อน แล้วสื่อออกมามันจะไม่ผิดเพี้ยน

สังคม : พี่ก็โง่สังคมเช่นกัน= =" แต่...ม.6พี่ตั้งใจเรียนในห้องเพราะชอบประวัติศาสตร์ ม.6น้องจะได้เรียนประวัติศาสตร์สากล ใครอ่านมาเยอะก่อน ได้เปรียบก็โชคดีไป แต่จริงๆแล้วพี่ต้องขอบคุณอาจารย์สุนิดามากๆ เพราะถ้าพี่ไม่ได้ท่านสอนเนี่ย พี่คงคะแนนไม่ผ่านครึ่งแน่นอน น่าเสียดายที่พี่มาเรียนช้าไปหน่อย คือเรียนตอนม.6เทอมสอง ถ้าเรียนตั้งแต่เทอม1คะแนนคงจะดีกว่านี้ พี่ก็อ่านชีทที่อ.ให้ แล้วก็ตั้งใจเรียนในห้อง
credit:eduzone

10 วิธีดูแลสมองให้เฉียบแหลม

การ ทำงานของระบบสมองถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ เพราะสมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองกระปุกดอทคอมจึงขอเสนอวิธีการดูแลสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีวิธีใดบ้างแล้วล่ะก็ ตามมาดูกันเลย

1. ออกกำลังกายซะบ้าง

นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายท่านเห็นตรงกันว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน จะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลดีต่อระบบสมอง ขณะที่หัวใจและปอดก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าหากสมองแข็งแรง ก็จะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย

2. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

คุณรู้หรือไม่ว่า การได้รับพลังงานไม่ว่าจะมากหรือน้อยเกินไปส่งผลต่อการทำงานของระบบสมอง ดังนั้นแล้วอาหารหรือผลไม้อะไรก็ตามแต่ที่คุณทาน ก็ควรจะเป็นอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง และให้ปริมาณของไขมันและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดการทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็จะทำให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3. ไม่ตามใจปาก

การตามใจปาก ทานอาหารอย่างไม่ดูคุณค่าทางโภชนาการจะทำให้สมองทำงานช้าลง ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมการทานอาหารอย่างพอเหมาะ เพราะหากควบคุมอาหารที่มากเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลเสียทำให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานของสมองอย่างมาก

4. ดูแลตัวเอง

โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 3 โรคอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรง ทำให้กระบวนการรับรู้ของสมองแย่ลงจนอาจทำให้เกิดอาการความจำเสื่อมได้ ดังนั้นคุณจึงควรที่จะดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง เพื่อบรรเทาไม่ให้สมองถูกทำลายก่อนวัยอันสมควร

5. พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่ทำให้ร่างกายและสมองได้รับการ ผ่อนคลายจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน ซึ่งการนอนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ก็จะทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น และตัวคุณเองก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นเช่นกัน

6. กาแฟช่วยคุณได้

มีการศึกษาพบว่ากาเฟอีนในกาแฟสามารถปกป้องสมองได้ การดื่มกาแฟวันละ 2 - 4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อมได้ 30 - 60% เลยทีเดียว

7. ทานปลาบำรุงสมอง

ปลาถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและสมองสูง โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่อยู่ในเนื้อปลา มีประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

8. ปล่อยตัวไปตามสบาย

เครียดมากเกินไปก็ส่งผลทำให้การทำงานและการจดจำของสมองแย่ลงได้ ดังนั้นแล้วจงปล่อยตัวไปตามสบายซะบ้าง ทำจิตใจให้สงบ อย่างเช่น การเล่นโยคะ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

9. หลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมต่าง ๆ

หากใช้อาหารเสริมต่าง ๆ อย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็นจะส่งผลเสียต่อสมองอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะอาหารเสริมก็เหมือนยาชนิดหนึ่งซึ่งจะส่งผลดีก็ต่อเมื่อร่างกายมีปัญหา หรือร่างกายจำเป็นต้องได้รับเท่านั้น หากร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรใช้อาหารเสริมแต่อย่างใด

10. ทำกิจกรรมที่ลับสมอง

เพื่อเป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลาว่าง ให้ลองหาเกมลับสมองมาเล่นดู ไม่ว่าจะเป็นปริศนาอักษรไขว้ ต่อจิ๊กซอว์ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำงานของสมองใช้การได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ได้ รู้วิธีการดูแลบำรุงสมองดี ๆ ทั้ง 10 ข้อนี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อจะได้มีสมองที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและเฉียบแหลมอยู่ตลอดเวลา
ที่มา http://health.kapook.com/view26749.html

แนะนำวิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

What is it?

หลายคนคงจะรู้จักถึงหลักสูตรการออกแบบ สร้าง และซ่อมเครื่องบินของภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม. เกษตรศาสตร์ จากบนฟ้ามาสัมผัสกับผิวน้ำกันบ้าง นั่นก็คือหลักสูตรวิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ (Naval Architecture and Marine Engineering) ของวิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติ (International Maritime College) ซึ่งเทียบได้กับคณะๆ หนึ่งของ ม. เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา (Kasetsart University, Si Racha Campus) โอ้... ม. เกษตรอีกแล้วครับท่าน วิศวะของเขาหลากหลายจริงๆ นะเนี่ย



สาขาวิชาวิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ เป็น 1 ใน 2 หลักสูตรที่วิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติเปิดสอน โดยอีกหลักสูตรหนึ่งก็คือ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การเดินเรือ (Nautical Science) ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน เอาไว้จะนำมาเสนอในคราวต่อๆ ไปนะ ตอนนี้เรามาเรียนที่จะสร้างเรือกันก่อนดีกว่า



ปัจจุบันมีสถาบันที่เกี่ยวกับพาณิชยนาวีหลายแห่ง แต่ก็เป็นหลักสูตรวิทยาศาสตร์การเดินเรือทั้งนั้น หรืออาจมีสอนเรื่องเครื่องกลเรือบ้างนิดหน่อย ส่วนหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิศวกรรมต่อเรือโดยเฉพาะนั้นมีเพียงที่วิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติที่นี่ที่เดียว และถึงจะใช้ชื่อวิทยาลัยว่าเป็นนานาชาติ แต่หลักสูตรที่เป็นนานาชาติจริงๆ คงต้องรอกันหน่อย แต่จะว่าไม่มีการเรียนการสอนที่เป็นภาษาอังกฤษเลยก็ใช่ที่ เพราะมีบางวิชาที่เชิญอาจารย์ต่างชาติมาสอนด้วย



• What do they learn?

หลักสูตรวิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือใช้เวลาเรียน 4 ปี โดยเริ่มจากวิชาพื้นฐานทั่วไปที่น้องๆ หลักสูตรปริญญาตรีทุกคนต้องเรียนในปีแรก ในขณะเดียวกันก็จะได้เรียนการเขียนแบบเรือแบบง่ายๆ ตั้งแต่เขียนด้วยมือไปจนถึงเขียนด้วยคอมพิวเตอร์
เมื่อขึ้นปี 2 จึงจะปูพื้นฐานด้านวิศวกรรม ฟิสิกส์ระดับแอดวานซ์ และยังมีวิชาด้านกลศาสตร์วิศวกรรม ที่พูดถึงแรงที่มากระทำกับวัตถุ และการเคลื่อนที่ซึ่งทำให้เกิดแรง วิชาด้านการวิเคราะห์วัสดุต่างๆ วิชาอุณหพลศาสตร์ (Thermodynamics) ซึ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของความร้อนในส่วนของต้นกำลัง และในภาคฤดูร้อนของปีนี้ น้องๆ ยังได้เติมความมันให้กับชีวิตด้วยการฝึกภาคปฏิบัติบนเรือ หรือก็คือเรียนรู้การใช้ชีวิตบนเรืออีก 160 ชั่วโมง

หากรอดชีวิตจากปี 2 มาสู่ปี 3 (เพราะมีเกือบ 50 เปอร์เซนต์ที่ไม่ผ่านและต้องโบกมือบ๊ายบายจากวิทยาลัยไป หรือไม่ก็ต้องอยู่เก็บวิชาเหล่านั้นให้ผ่านก่อน) ก็จะเป็นการเข้าสู่ศาสตร์ของการต่อเรือให้เป็นรูปเป็นร่าง น้องๆ จะได้เรียนคำนวณรูปทรงเรือ การทรงตัวของเรือ ต่อเนื่องด้วยโครงสร้างเรือ รวมไปถึงวิศวกรรมไฟฟ้าในเรือ การออกแบบเครื่องจักรกลเรือ หรือวิชาเลือกอย่างการออกแบบใบจักร และไฮโดรฟอยล์ (Hydrofoil) ที่เหมือนปีกเครื่องบินแต่ติดอยู่กับเรือเพื่อช่วยยกเรือให้แตะน้ำน้อยลง จนกระทั่งถึงภาคฤดูร้อนก็จะเป็นการฝึกงานตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งทางวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้ เช่น บริษัทต่อเรือ อิตาเลี่ยน-ไทย อู่ซ่อมเรือ บริษัทเดินเรือระหว่างประเทศ RCL แม้แต่บริษัทน้ำมันอย่าง ปตท. เชลล์ และทีพีไอ น้องๆ ก็จะได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสด้วย เพราะนี่เป็นการฝึกงานด้าน Offshore Engineering น่ะ คือดูแลเรื่องท่อส่งน้ำมันไง

คราวนี้เมื่อถึงปี 4 น้องๆ จะเริ่มว่างมากขึ้นแล้ว เพราะรายวิชาที่ต้องลงทะเบียนมีน้อยลง แต่ถึงวิชาน้อยก็ใช่ว่าจะง่าย ตามหลักสูตรน้องๆ ต้องทำโครงงานทางวิศวกรรมส่งอาจารย์ด้วยชิ้นหนึ่ง ในปีสุดท้ายนี้นักศึกษาหลายคนที่มีผลงานเข้าตาบริษัทที่เคยฝึกงานยังได้รับเลือกให้เข้าไปทำงานที่บริษัทนั้นๆ อีกต่างหาก แบบว่าเรียนด้วยทำงานด้วยน่ะ


• Job opportunities

นั่งดูคลื่นที่ออกจากท้ายเรือเวลาเรือวิ่ง แล้ววิเคราะห์ว่าเรือลำนี้มีจุดดีจุดด้อยตรงไหน อ๊ะ...ไม่ใช่ (แต่ขอบอกว่าน้องๆ สามารถทำอย่างนี้ได้จริงเมื่อเรียนจบแล้ว) ส่วนใหญ่น้องๆ ในสาขาวิชาวิศวกรรมต่อเรือเกือบทั้งหมดจะได้งานทำทันทีหลังเรียนจบ เพราะตลาดงานด้านนี้ยังมีที่ว่างอีกเยอะ อาชีพที่ทำได้ก็มีทั้งออกแบบ ต่อเรือ ซ่อมเรือ ทำงานในเรือ หรือไม่ก็เป็นวิศวกรชายฝั่ง นอกจากบริษัทในบ้านเราแล้ว บริษัทจากต่างประเทศอย่างเช่นที่ ดูไบ อินเดีย บรูไน หรืออินโดนีเซีย ก็ติดต่อขอบัณฑิตจากที่นี่ไปทำงานมากมาย แต่น้องๆ คงต้องทำใจหน่อยเพราะต้องจากบ้านไปทำงานไกลโพ้น ยิ่งถ้าเป็นอาชีพเดินเรือ มีโอกาสที่ต้องลอยอยู่ในทะเลนานเป็นเดือนๆ ใครมีแฟนอยู่ล่ะก็ ได้เวลาพิสูจน์ใจกันล่ะคราวนี้ แต่เอาน่า...เงินดีมากๆ แค่ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจก็พอว่า "Make money!"


• How to apply

จะชายหรือหญิงก็สามารถเรียนได้ ขอให้จบ ม. 6 สายวิทย์ การรับสมัครมีทั้งผ่านระบบแอดมิชชั่นส์และรับตรง ขอให้มีความตั้งใจและความรับผิดชอบเป็นใช้ได้ เพราะการสร้างซ่อมเรือก็หมายถึงน้องๆ ต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้คนที่จะต้องโดยสารอยู่บนเรือด้วย ดังนั้นห้ามมีคำว่าพลาด ที่สำคัญหากเป็นน้องผู้ชาย ต้องผ่านการเรียน ร.ด. มาแล้วเพื่อประโยชน์ของตัวน้องเอง เพราะหากเรียนจบแล้วต้องไปเกณฑ์ทหาร จะเสียเวลาไปโดยใช่เหตุส่วนค่าใช้จ่าย ไม่ได้มากมายใหญ่โตตามขนาดของเรือ ที่นี่ใช้ระบบเหมาจ่ายเทอมละประมาณ 22,000-25,000 บาทแล้วแต่เทอม



รายละเอียดเพิ่มเติม

สาขาวิชาวิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ

วิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
www.imc.src.ku.ac.th

รับตรง จุฬาฯ ชนบท ปี55

โครงการดีดีสำหรับ น้องต่างจังหวัด ที่ฐานะยากจน


มีโอกาสเข้าคัดเลือกศึกษาต่อที่ จุฬาฯ พร้อมทุนเรียนฟรี


รับสมัครถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2554



ประกาศรับสมัครคัดเลือกโครงการจุฬาฯ-ชนบท ปีการศึกษา 2555


ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดประกาศรับสมัครฯไปศึกษารายละเอียดได้ ...<อ่านรายละเอียดต่อ>


ประกาศรับสมัครคัดเลือกโครงการจุฬาฯ-ชนบทปี 2555 (เพิ่มเติม-ปอเนอะ)




ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดประกาศรับสมัครฯ (เฉพาะนักเรียนปอเนาะ) ได้ ...<อ่านรายละเอียดต่อ>


ใบสมัครขอรับทุนโครงการจุฬาฯ-ชนบท ปีการศึกษา 2555


ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครขอรับทุนจุฬาฯ-ชนบทได้ ...<อ่านรายละเอียดต่อ>


คำแนะนำการสมัครจุฬาฯ-ชนบท ปีการศึกษา 2555


ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดคำแนะนำการสมัครจุฬาฯ-ชนบทได้ ...<อ่านรายละเอียดต่อ>


คำแนะนำการสมัครจุฬาฯ-ชนบทปี 2555 (เพิ่มเติม-ปอเนอะ)


ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดคำแนะนำการสมัครจุฬาฯ-ชนบท (ปอเนาะ) ได้ ...<อ่านรายละเอียดต่อ>



เว็บไซต์หลัก http://www.rural.chula.ac.th

การเตรียมความพร้อมและเทคนิคในการสอบตรง

จำนวนที่เปิดรับ 110,586 รับตรง = 66,317 Admission = 44,269 รับตรง = 60% ดังนั้น มาเตรียมความพร้อมก่อนสอบตรงดีกว่า การเตรียมความพร้อมและเทคนิคในการสอบตรง การสอบตรงในปัจจุบันประกอบด้วย 3 รูปแบบหลัก แบบที่ 1 ผ่านคุณสมบัติ -> สอบข้อเขียน -> สอบสัมภาษณ์ + ดู Portfolio แบบที่ 2 ผ่านคุณสมบัติ -> สอบข้อเขียน + O-NET, A-NET -> สอบสัมภาษณ์ + ดู Portfolio แบบที่ 3 ผ่านคุณสมบัติ -> สอบสัมภาษณ์ + ดู Portfolio คุณสมบัติ ในการสอบตรง มหาวิทยาลัยจะพิจารณานักเรียนที่มีคุณสมบัติและความสามารถตรงกับความต้องการของคณะหรือสาขาเพื่อที่นักเรียนจะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานต่อไป การสอบข้อเขียน ข้อสอบในการสอบตรงของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าโครงการนั้นต้องการนักเรียนที่มีความสามารถด้านใด เช่น สอบตรงนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยก็จะต้องการนักเรียนที่มีความสนใจด้านกฎหมาย มีความสามารถในการจับใจความ การสอบสัมภาษณ์ โดยส่วนมากจะเป็นลักษณะการสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการและการสอบสัมภาษณ์เพื่อประเมินความพร้อมและความสนใจในคณะหรือสาขา ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ การสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการ จะเป็นการถามตอบเชิงวิชาการ ลักษณะข้อสอบเหมือนข้อสอบอัตนัยโดยข้อสอบจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ดังนั้น นักเรียนต้องเตรียมพร้อมโดยศึกษารายละเอียดรายวิชาที่ต้องเรียนของคณะหรือสาขานั้น การสอบสัมภาษณ์เพื่อประเมินความพร้อมความสนใจ จะเป็นการสอบเพื่อวัดความพร้อมและความสนใจของนักเรียนว่ามีความสนใจที่จะเข้าเรียนมากน้อยเพียงไร คำถามที่มักพบบ่อยเช่น "ทราบหรือไม่ว่าคณะนี้เรียนเกี่ยวกับอะไร?" Portfolio อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและนักเรียนจะต้องเตรียมไปในวันสอบสัมภาษณ์ คือ แฟ้มสะสมงานหรือ Portfolio ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ "คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ" ต้องเป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับคณะหรือสาขาที่เรากำลังจะไปสัมภาษณ์จึงจะดีที่สุด
credit:Eduzone

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แนะนำ คณะที่เปิดสอนใน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะครุศาสตร์
คณะจิตวิทยา
คณะทันตแพทยศาสตร์
คณะนิติศาสตร์
คณะนิเทศศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
คณะแพทยศาสตร์
คณะเภสัชศาสตร์
คณะรัฐศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะศิลปกรรมศาสตร์
คณะเศรษฐศาสตร์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
คณะสหเวชศาสตร์
คณะสัตวแพทยศาสตร์
คณะอักษรศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
กด CTrL + F แล้วพิมพ์หาชื่อคณะได้ลย

ปล. ทำเป็น Link ในบทควมไม่เป็น T__T



คณะครุศาสตร์

การจัดการเรียนการสอน ในแต่ละมหาวิทยาลัย ก็อาจจะมีแตกต่างกันบ้าง เล็กน้อยแต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือสาขาวิชา เช่น สาขาปฐมวัย (สอนเด็กอนุบาล) สาขาประถม(แล้วแยกออกไปว่าจะสอนวิชาเอกอะไร) สาขามัธยม (แล้วก็แยกออกไปว่าจะเรียนเอกการสอนวิชาอะไร) สาขา การศึกษานอกระบบ (เป็นครูสอน กศน.)แล้วก็มีสาขาอื่นๆอีกที่เป็นวิชาเสริม ที่ไม่ใช่วิชาการ เช่น พลศึกษา สุขศึกษาคหกรรมศาสตร์ศึกษา ธุรกิจศึกษา เกษตรกรรม เทคโนโลยีการศึกษา จิตวิทยาการแนะแนว เป็นต้น
การเรียน ตอนนี้เป็นหลักสูตรใหม่ รุ่นที่ 2 จะเรียน 5 ปี ปี1 จะเรียนวิชาพื้นฐานพอปี2 -4 ก็จะเรียนวิชา เกี่ยวกับ ครู และวิชาอื่นๆที่จำเป็น เช่น จิตวิทยาต่างๆ พอปี5 จะออกฝึกสอนทั้งปี และจะมีการทำรายงานประมาณเกือบจะเป็นวิจัยอีกด้วย
คณะนี้ มุ่นเน้นผลิตบัณทิต ให้จบมาเป็นครู ฉะนั้นแล้ว เรียนมา 5 ปี ก็ควรที่จะเป็นครู เป็นครูได้ทุกโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชน

คณะครุศาสตร์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นศาสตร์ทางด้านการศึกษา และ วิชาทางด้านครู แต่คณะเราก็ไม่ได้เรียนวิชาครูอย่างเดียวนะครับน้องๆบางวิชาก็ค่อนข้างเน้นหนักไปในทางการพัฒนาสังคมและชุมชนทั้งนี้แล้วขึ้นอยู่กับสาขาวิชาเอกด้วย สำหรับพี่ขอแนะนำคณะครุศาสตร์ ซึ่งผลิตบุคลากรทางการศึกษามารับใช้สังคม อย่างมีคุณภาพตลอด คณะเรามีหลากหลายภาควิชา และแต่ละภาควิชาก็มีสาขาแยกย่อยลงไปอีกดังจะกล่าวคร่าวๆดังนี้
1. สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ดูแลเด็กระดับอนุบาลจนถึงก่อนประถมศึกษา เป็นสาขาวิชาที่สนุกสนานมากๆ พี่ๆบอกว่ามีการสอนเด็กเล็ก เล่นกับเด็ก ดูแลเด็ก สรุปแล้วรักเด็กไงจ้ะ สาขานี้มีผู้หญิงเยอะมาก ผู้ชายแทบหาไม่ได้เลย (สาวๆแผนกนี้น่ารัก และสดใสเหมือนเด็กอนุบาลไง)
2. สาขาวิชาประถมศึกษา ก็สอนระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 ไง มีหลายเอก ประมาณ 5 เอกนะ คือ ไทย สังคม อังกฤษ วิทย์ คณิต สาขานี้ก็เรียนค่อนข้างหนักนะ เพราะเรียนถึง 3 เอกแน่ะ คือ
เอกประถม/ไทย/สังคม อะไรประมาณเนี้ย ขึ้นอยู่กับการสอบเอนทรานซ์เข้ามาและจะเลือกสาขาวิชาอะไร แผนกนี้ก็สนุกสนาน เฮฮาดี สมกับครูประถมนะจ้ะ
3. สาขามัธยมศึกษา
3.1 มัธยมศึกษา(วิทยาศาสตร์) ก็พวกเอก คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และอีกหลายเอกที่เป็นวิทยาศาสตร์
3.2 มัธยมศึกษา(มนุษย์/สังคม) เอก ไทย สังคม อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จิตวิทยา ฯลฯ ทั้งมัธยมวิทย์/ศิลป์ จะเรียนค่อนข้างลึก และหนัก สำหรับมัธยมวิทย์ เรียนหนักมากๆ แต่พี่ๆก็บอกว่าไม่ยากเท่าไรหรอก ถ้าขยันซะอย่าง
4. สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน แผนกนี้เรียนเกี่ยวกับการศึกษานอกโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัยจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานได้ทุกอย่างเพราะหลักสูตรนั้นกว้างและยืดหยุ่นมากๆ
5. สาขาการสอนวิชาเฉพาะ
1. ดนตรีศึกษา ก็เรียนดนตรีนั่นเอง
2. ศิลปศึกษา เรียนศิลปะ Art
3. ธุรกิจศึกษา
สำหรับดนตรีกับศิลปะ ก็จะเน้นการปฏิบัติจริงนะจ้ะ เป็นไงพอจะเข้าใจป่ะ ว่าคณะครุศาสตร์ของเรามีอะไรบ้าง ใครที่รักจะเป็นครูก็เลือกเข้ามาเลยนะ











คณะจิตวิทยา

จิตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และกระบวนการทางจิต โดยการศึกษาพฤติกรรมของคนเรามีทั้งที่สังเกตง่ายๆ และพฤติกรรมที่ซับซ้อนได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เพื่อค้นหาสาเหตุและทำความเข้าใจลักษณะธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ คำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในบริบทต่างๆ เช่น เหตุใดวัยรุ่นจึงมีอารมณ์รุนแรง หรือเหตุใดพนักงานจึงไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการทำงาน หรือ ทำไมคนแต่ละคนจึงมีความอดทนต่อปัญหาได้แตกต่างกัน เหล่านี้เป็นหน้าที่ของนักจิตวิทยา ในการศึกษา “พฤติกรรมและจิตของมนุษย์”

วัตถุประสงค์ของหลักสูตร

1. มีความรอบรู้ด้านจิตวิทยา สามรถวิเคราะห์และแก้ไข ปัญหาพฤติกรรมมนุษย์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

2. สามารถนำความรู้ทางด้านจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการพัฒนาการประเทศ

3. มีศักยภาพในการค้นคว้าและติดตามความเจริญก้าวหน้า ทางวิชาการระดับสากล มีความใฝ่รู้ มีทักษะในการสื่อสารจัดการ การเป็นผู้นำและเป็นผู้ตามในการทำงาน

หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา เป็นหลักสูตรปริญญาตรี ได้เปิดการเรียนการสอนขึ้นในคณะจิตวิทยา ปี

การศึกษา 2544 ด้วยโครงสร้างหลักสูตรที่มีลักษณะกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการเลือกเรียนจิตวิทยาเฉพาะทาง โดยหลักสูตรได้จัดให้ผู้เรียนมีโอกาสเลือกกลุ่มรายวิชาที่เน้นหนักทางด้าน

- จิตวิทยาทั่วไป - จิตวิทยาการปรึกษา และคลินิก

- จิตวิทยาสังคม - จิตวิทยาพัฒนาการ

- จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ - จิตวิทยาชุมชน

นอกจากนี้ หลักสูตรยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกวิชาโทจากต่างคณะได้ เพื่อให้เกิดการผสมผสานศาสตร์ทางจิตวิทยากับศาสตร์อื่น ซึ่งจะทำให้เกิดการประยุกต์ในวงกว้าง

คำถามที่มักพบเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของจิตวิทยา

จิตวิทยาเรียนจบแล้วไปทำอะไรได้บ้าง

1. เป็นนักจิตวิทยาในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหามนุษย์ เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงแรงงาน

2. บุคลากรด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน

นักจิตวิทยาต่างจากจิตแพทย์อย่างไร

นักจิตวิทยา คือผู้ที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ อันครอบคลุมทั้งพฤติกรรมปกติทั่วไปของผู้ที่มีสุขภาพจิตปกติสมบูรณ์ และพฤติกรรมของผู้ที่มีสุขภาพจิตไม่ปกติ ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตไม่ปกตินั้น นักจิตวิทยาจะเน้นการให้คำปรึกษา หรือการใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมด้วยกระบวนการทางจิตวิทยาแก่ผู้มารับคำปรึกษาหรือบำบัดทางจิตใจ ในขณะที่จิตแพทย์จะเน้นการใช้ยาในการรักษาความผิดปกติทางจิตของคนไข้เป็นหลัก

ด้วยความรู้ทางจิตวิทยาในด้านต่างๆ และความรู้ที่กว้างขวางที่เลือกได้ตามความสนใจ ผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตร จะสามารถเลือกสาขาวิชาเฉพาะสำหรับศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น รวมทั้งเลือกประกอบอาชีพตามความรู้ความเข้าใจ แก้ไขปัญหา และพัฒนามนุษย์ด้วยหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ต่อไป











คณะทันตแพทยศาสตร์

ทันตแพทย์ หรือที่คุ้นหูกันในชื่อ “หมอฟัน” เป็นการศึกษาในเรื่องของฟัน อวัยวะในช่องปากและอวัยวะอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำหน้าที่ในการบดเคี้ยวอาหาร ช่วยออกเสียงและส่งเสริมบุคลิกภาพ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะมีความสามารถในการตรวจวินิจฉัย วางแผน และบำบัดรักษาโรคในช่องปากและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบูรณะเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ป้องกันโรคฟันผุแก่ชุมชน เผยแพร่ความรู้ทางทันตสุขศึกษาและทำการวิจัยทางด้านทันตแพทยศาสตร์

หลักสูตร

ใช้เวลาศึกษา 6 ปี โดยแบ่งออกเป็นภาควิชา คือ กายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา ชีวเคมี ชีววิทยาช่องปาก ชีววิทยาช่องปาก ชีววิทยาของเซลล์และเนื้อเยื่อ จุลชีววิทยา เภสัชวิทยา ทันตพยาธิวิทยา ทันตกรรมประดิษฐ์ ทันตกรรมจัดฟัน เวชศาสตร์ในช่องปาก ศัลยกรรมช่องปาก ทันตกรรมบูรณะ ทันตสาธารณสุข ทันตกรรมป้องกัน ทันตกรรมอนุรักษ์ โอษฐวิทยา ทันตกรรมหัตถการเกี่ยวกับวิธีรักษารากฟันและอุดฟัน รังสีวิทยาเกี่ยวกับการเอกซเรย์ของฟันและในช่องปาก ศัลยศาสตร์-ถอนฟัน และการผ่าตัดที่เกี่ยวกับบนใบหน้า ทันตกรรมสำหรับเด็กเกี่ยวกับสภาพฟันต่างๆของเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี ปริทันตวิทยาเกี่ยวกับการรักษาเหงือก และทันตกรรมชุมชนที่มุ่งเน้นให้บัณฑิตสามารถรับใช้สังคมในชนบทโดยทำงานในโรงพยาบาลชุมชนต่างๆได้

1.ในชั้นปีที่ 1-2 จะเรียนเตรียมทันตแพทย์ที่คณะวิทยาศาสตร์ โดยเรียนวิชาในสาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

2.ในชั้นปีที่ 3-4 เรียนในภาควิชาปรีคลินิก เกี่ยวกับวิชาการในวิชาชีพทันตแพทย์อันเป็นพื้นฐานของวิชาแพทย์ทั่วไป

3.ในชั้นปีที่ 5-6 จะเรียนด้านภาคคลินิกที่เน้นหนักในทางปฏิบัติงานคลินิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจบำบัดรักษาทางทันตกรรม การส่งเสริมและป้องกันโรคของฟัน เหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปาก เป็นต้น ซึ่งต้องปฏิบัติกับผู้ป่วยทางคลินิกในโรงพาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จนกระทั่งเมื่อเรียนถึงชั้นปีที่ 6 นักศึกษาต้องพร้อมในการออกปฏิบัติงานอย่างเต็มตัว โดยต้องรับราชการชดใช้รัฐบาลตามสัญญาและเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้

4.เมื่อบัณฑิตได้ขึ้นทะเบียนประกอบโรคศิลป์สาขาทันตกรรมแล้ว ก็จะสามารถประกอบอาชีพเป็นทันตแพทย์ได้

ลักษณะของอาชีพนี้

หมอฟันจะเป็นผู้ที่ทำการรักษาโรคฟัน ความผิดปกติของฟัน และช่องปากด้วยกรรมวิธี โดยการให้ยา หรือการศัลยกรรมซึ่งขึ้นอยู่ที่ความจำเป็นว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น

- ใช้เครื่องเอกซเรย์ทดสอบตามความจำเป็น เพื่อจะได้ทราบถึงลักษณะของความผิดปกติ

- พิจารณาผลของการตรวจ การทดสอบและเลือกวิธีรักษา

- หารูฟันผุ ทำความสะอาด อุดรูฟัน และถอนฟันที่เป็นโรคหรือฟันที่ไม่มีประโยชน์แล้ว

- พิมพ์และจำลองแบบของเหงือก และส่วนอื่นๆของปาก เพื่อใช้ในการประดิษฐ์ใส่ฟันปลอมซ่อมฟันปลอมทั้งชนิดที่เป็น

ซี่และทั้งปาก

- ใส่เครื่องยึดเพื่อจัดฟันที่มีลักษณะผิดปกติหรือเกให้เป็นระเบียบและสวยงาม

- ให้ยาชาหรือยาสลบตามความจำเป็นในการรักษา การดัดฟัน การตัด รากฟันกระดูกขากรรไกรและใบหน้า คลินิกการ

ถอนฟัน และศัลยศาสตร์ในช่องปาก

- ให้ยาชาหรือยาสลบตามความจำเป็นในการรักษา การดัดฟัน การตัด รากฟันกระดูกขากรรไกรและใบหน้า คลินิกการ

ถอนฟัน และศัลยศาสตร์ในช่องปาก

คุณสมบัติของผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้

- ผู้เรียนต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีและต้องมีความมานะอดทน เพื่อการเรียนรู้อยู่ในห้องเรียน ห้องสมุด และห้องแล็บตลอดเวลาจึงจะเรียนได้ดี

- การเรียนคณะนี้ต้องเน้นหนักความถนัดโดยเฉพาะความชำนาญในการใช้เครื่องมือ เช่น ในการประดิษฐ์ ตกแต่ง บูรณะฟันที่สึกหรอ เป็นรู เป็นโพรง หรือหักถอนถือได้ว่างานทางทันตแพทย์เป็นงานประเภทฝีมือที่ละเอียดอ่อนประเภทหนึ่ง

- ผู้เรียนควรมีสุขภาพดี แข็งแรงสมบูรณ์ มีบุคลิกภาพดีรู้หลักจิตวิทยาและมนุษยสัมพันธ์ในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี

- ผู้เรียนควรเป็นผู้ที่มีฐานทางการเงินดี เพราะการเรียนต้องใช้เวลาเรียนหลายปีและในการเรียนนั้นจะมีค่าใช้จ่ายมากมายในด้านอุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรม ค่าธรรมเนียมต่างๆ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว รวมทั้งต้องจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างเพื่อเป็นอุปกรณ์การศึกษาของตน

แนวทางในการประกอบอาชีพ

- เป็นอาจารย์สอนและวิจัยในคณะทันตแพทยศาสตร์

- ประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเครื่องมือทันตแพทย์

- ทำงานด้านวิจัยในปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยและโรคในช่องปาก

- เป็นทันตแพทย์ในโรงพยาบาล อนามัย หรือ คลินิกทั้งของรัฐและเอกชน

- ประกอบอาชีพอิสระในการตั้งคลินิกรักษาหรือโรงพยาบาลเอกชน



คณะนิติศาสตร์

นิติศาสตร์คือการศึกษากฎเกณฑ์ความประพฤติของบุคคลที่อยู่รวมกันในสังคมที่เรียกว่า “กฎหมาย” การศึกษานิติศาสตร์จะมีสาระหลักๆ คือ

1. นิติศาสตร์จะศึกษาทฤษฎี แนวคิด หลักการ เกี่ยวกับสาระของกฎหมายในส่วนสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของคนตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งในการติดต่อทางธุรกิจทุกปนะเภท รวมตลอดจนหลักแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับรัฐและหน่วยงานของรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐในสังคมนานาชาติ

2. นิติศาสตร์มุ่งศึกษาบทบาทของกฎหมาย ทั้งในฐานะที่เป็นกรอบกำหนดเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐมิให้ล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของประชาชน

3. นิติศาสตร์ต้องให้ความสำคัญต่อคุณค่าเชิงคุณธรรมของกฎหมายด้วย เพราะกฎหมายมีขึ้นเพื่อความเป็นธรรม ดังนั้นจึงเน้นที่กระบวนการของกฎหมายว่า “บริสุทธิ์” และต้องมีความ “ยุติธรรม” ด้วย

หลักสูตร

จะใช้เวลาศึกษา 4 ปี ประกอบด้วยหมวดวิชาต่อไปนี้

1. วิชาศึกษาทั่วไป ประกอบด้วยวิชาในกลุ่มสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ภาษา และ

สหศาสตร์

2. วิชาเฉพาะด้าน วิชาที่จะต้องศึกษา เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิติกรรมสัญญา กฎหมายหุ้นส่วนบริษัท กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายภาษีอากรและกฎหมายระหว่างประเทศ

3. วิชาเลือก เป็นวิชาที่เปิดสอนในคณะนิติศาสตร์ เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ กฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชน กฎหมายการธนาคาร และกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุน

เมื่อจบต้องสมัครเข้ารับการฝึกอบรมและสอบขอใบอนุญาตว่าความทั่วราชอาณาจักร การแสวงหาประสบการณ์ในคดีความต่างๆหรือการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับเนติบัณฑิตทางกฎหมายจะช่วยให้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมากขึ้น

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

- รักการอ่าน การค้นคว้า มีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆกว้างขวาง

- ช่างคิด และมีความกล้าในการแสดงความคิดเห็น

- มีความสามารถในการเขียนและใช้ภาษาไทยเนอย่างดี

- มีนิสัยรักความเป็นธรรม

สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายจะต้องมีคุณสมบัติต่อไปนี้

- เป็นนิติศาสตร์บัณฑิต เทียบไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี

- ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียและไม่เป็นผู้ที่ทำการใดๆซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจ

- มีประสบการณ์ในงานตุลาการทางกฎหมาย

- ต้องซื่อสัตย์ต่อผู้ว่าจ้าง มีความซื่อตรงและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย

แนวทางในการประกอบอาชีพ

ในสาขานี้ผู้จบสามารถประกอบอาชีพได้ทุกอาชีพและสามารถเข้ารับราชการได้ในทุกกระทรวง เช่น ผู้พิพากษา พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน ตำรวจ นายทหารพระธรรมนูญ นิติกร ปลัดอำเภอ หรือประกอบอาชีพอิสระ เช่น ทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย ตั้งสำนักทนายความและสามารถศึกษาต่อในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เพื่อสอบเป็นเนติบัณฑิตไทย ในระดับสูงขึ้นต่อไป



คณะนิเทศศาสตร์

คณะนี้จะเป็นการเรียนที่เกี่ยวกับการสื่อสารทุกประเภท ทุกระดับ ไปยังบุคคลหรือมวลชนด้วยการใช้เทคนิควิชาการ เพื่อช่วยให้การสื่อสารของมนุษย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแยกเป็นสาขาต่างๆ

หลักสูตร

จะใช้เวลาในการศึกษา 4 ปี จะเน้นทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ

1. สาขาวารสารสนเทศ จะเน้นหนักเกี่ยวกับวิทยาการและเทคโนโลยีข่าวสาร เช่น การสื่อข่าว เขียนข่าว การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆรวมทั้งเครือข่ายอินเตอร์เนต การรายงานข่าวผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการออกแบบการนำเสนอผ่านสื่อพิมพ์อื่นๆ เช่น แผ่นปลิว โปสเตอร์ เป็นต้น

2. สาขาวิทยุและโทรทัศน์ ศึกษาทฤษฎีแนวคิด กระบวนการของการส่งข่าวสารหรือสื่อความหมายต่างๆโดนทางสื่อกระจายเสียงและโทรทัศน์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการประกาศ การแสดง การเขียนบท การผลิตรายการวิทยุ การบริหารงานสถานีวิทยุและโทรทัศน์ นอกจากนี้ยังได้รับการฝึกฝนการผลิตรายการวิทยุจากห้องบันทึกเสียง ทั้งรายงานข่าว สารคดี ละคร ดนตรี

3. สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่ง ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ศิลปะ และการสื่อความหมายของภาพนิ่งและภาพยนตร์ ผู้ศึกษาในสาขานี้จะสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์จากจินตนาการที่มีอยู่ผลิตภาพยนตร์ที่ทันสมัย นอกจากนี้จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาพนิ่ง การใช้อุปกรณ์ถ่ายภาพ และการขยายภาพในห้องแล็บด้วยตนเอง

4. สาขาโฆษณา ศึกษาการทำงานด้านโฆษณาต่างๆตั้งแต่การสร้างสรรค์และการผลิตสื่อโฆษณา การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค การเขียน การวางแผน การรณรงค์เพื่อการโฆษณา ตลอดจนศึกษาถึงบทบาทของการโฆษณาในการตลาด

5. สาขาประชาสัมพันธ์ เน้นหนักเกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจอันดี ป้องกันและแก้ไขความเข้าใจผิด คงวามขัดแย้ง ส่งเสริมและรักษาภาพลักษณ์ของสถาบัน การจัดการภาวะวิกฤต การหยั่งเสียงประชามติ ประชาพิจารณ์ ตลอดจนการสร้างสรรค์และโน้มน้าวทัศนคติที่ดีแก่ประชาชน

6. สาขาวาทวิทยา/บริหารการสื่อสาร ศึกษาพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของมนุษย์ทุกระดับ เช่น การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารหน้าที่ชุมชน การสื่อสารในองค์การ การสื่อสารทางธุรกิจ และการสื่อสารเพื่อการพัฒนาสังคม

คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษาคณะนี้

- มีความสามารถในการใช้ภาษาติดต่อสื่อสารทั้งด้านภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

- มีความสนใจทางด้านศิลปะการสื่อความหมายประเภทต่างๆ

- มีความคิดสร้างสรรค์ รักการอ่าน การเขียน มีความรู้กว้างขวาง

- สนใจศึกษาเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทันต่อเหตุการณ์

- มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลาอยู่เสมอ

- กล้าแสดงออก ช่างสังเกต มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี



แนวทางในการประกอบอาชีพ

เมื่อจบในสาขาเหล่านี้สามารถทำงานในสายงานโดยตรงหรือสาขาที่เกี่ยวข้องได้ ที่เน้นหนักในด้านการผลิตเอกสาร ผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ นักประชาสัมพันธ์ในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจสมาคมต่างๆ เป็นผู้วางแผนการใช้สื่อและเป็นนักโฆษณาในส่วนของสายงานวิชาชีพที่เกี่ยวข้องโดยอาชีพที่จะต้องใช้การพูด การสื่อสารเป็นปัจจัยหลัก



คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ประกอบด้วย 5 ภาควิชา ได้แก่ ภาควิชาบัญชี ภาควิชาพาณิชยศาสตร์ ภาควิชาการธนาคารและการเงิน ภาควิชาสถิติ และภาควิชาการตลาด

ภาควิชาการบัญชี ผลิตบัณฑิตทั้งในระดับปริญญาบัณฑิต และระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชามีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่ธุรกิจในประเทศไทยเกี่ยวกับการออกรายงานทางการเงิน การจัดการบัญชี และการตรวจสอบ ภาควิชาได้ร่วมมือกับ IIA (Institute of Internal Auditors) ของประเทศสหรัฐอเมริกา

ภาควิชาพาณิชยศาสตร์ มีหน้าที่ในการให้การศึกษาและการวิจัยทางด้านการจัดการ ภาควิชามีความมุ่งหวังที่จะให้บัณฑิตของภาควิชามีความรู้กว้างไกลในทุกด้านของการจัดการ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการองค์ความรู้ การจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และระบบสารสนเทศทางการจัดการ

ภาควิชาสถิติ มีบทบาทในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ที่ก้าวหน้าทางด้านกระบวนการตัดสินใจทางธุรกิจ ภาควิชาฝึกฝนเพื่อให้ได้บัณฑิต นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านประกัน และนักเทคโนโลยีสารสนเทศรุ่นใหม่ การผสมผสานของศาสตร์ทางด้านสถิติ ประกัน และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศ และช่วยให้ผู้บริหารขององค์กรมีเครื่องมือที่ให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

ภาควิชาการธนาคารและการเงิน ได้ทุ่มเทในการจัดหาเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย และผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ ความชำนาญ ที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการเติบโตของตลาดการเงินของโลก นิสิตจะต้องเรียนรู้ทั้งเทคโนโลยีและหลักการทางด้านการเงินที่จะช่วยให้สามารถก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านการธนาคาร และสภาพแวดล้อมทางการเงินของโลก

ภาควิชาการตลาด มีการปรับปรุงหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความผันผวนของธุรกิจในปัจจุบัน ภาควิชาเน้นการผสมผสานหลักการทางด้านการตลาด การฝึกปฏิบัติ และประสบการณ์จากธุรกิจจริง ซึ่งรวมถึงทฤษฎีใหม่ๆ ทางการตลาด โลจิสติกส์ และการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ภาควิชามีโปรแกรมฝึกงานภาคฤดูร้อน รวมทั้งให้นิสิตเข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ ทางด้านการตลาด



คณะแพทยศาสตร์

เป็นวิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจโรค วินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การผดุงครรภ์ การปรับสายตาด้วยเลนส์สัมผัส การแทงเข็ม หรือการฝังเข็มเพื่อการบำบัดโรค หรือเพื่อระงับความรู้สึกและหมายความรวมถึงการทำทางศัลยกรรม การใช้รังสี การฉีดยาหรือสาร การสอดใส่วัตถุใดๆเข้าไปในร่างกายทั้งนี้เพื่อการคุมกำเนิด การเสริมสวยหรือการบำรุงร่างกาย สามารถวางแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาสุขภาพของชุมชน ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็นและฐานะของผู้ป่วยและสังคม

หลักสูตร

ผู้ที่จะศึกษาต้องมีหน่วยกิตสะสมไม่ต่ำกว่า 263 หน่วยกิต โดยใช้เวลาศึกษาตามปกติ 6 ปี การศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ

1. ระยะที่ 1 [Premedical year] ในชั้นปีที่ 1 เป็นการศึกษาวิชาการที่เป็นพื้นฐานของการเป็นแพทย์

2. ระยะที่2 [Preclinical years] ในชั้นปีที่ 2 และ 3 เป็นการศึกษาวิชาชีพพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยบูรณาการความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและหน้าที่การทำงานโดยปกติของร่างกายมนุษย์กับพยาธิสภาพต่างๆอันเป็นพื้นฐานของการเรียนในระดับต่อไป

3. ระยะที่ 3[Clinical years] ในชั้นปีที่ 4 – 6 เป็นการเรียนรู้ความผิดปกติหรือโรคต่างๆทั้งทางกายและจิตใจ โดยมีบูรณาการความรู้จากทฤษฎีกับประสบการณ์ในผู้ป่วยจริง เพื่อให้มีความรู้และทักษะตามเกณฑ์มาตรฐานของแพทยสภา โดยในชั้นปีที่ 6 จะเป็นการฝึกปฏิบัติงานในการตรวจรักษาผู้ป่วยด้วยตนเอง ภายใต้ความรับผิดชอบของอาจารย์แพทย์

ลักษณะของอาชีพ

1. เป็นแพทย์ฝ่ายรักษา โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

- แพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาคนไข้ทั่วไป เช่น เป็นไข้หวัด โรคกระเพาะ ท้องเสีย เป็นต้น

- แพทย์เฉพาะทาง รักษาคนไข้ที่มีอาการหนักหรือที่ต้องใช้อุปกรณ์วินิจฉัยพิเศษหรือต้องการแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะโรคนั้นทำการรักษา เช่น มีน้ำในสมอง มะเร็ง เนื้องอก เป็นต้น โดยเข้าฝึกอบรม 3 ปีเพื่อรับวุฒิบัตรแพทย์เฉพาะทางของแพทยสภา

2. เป็นแพทย์ฝ่ายวิจัย เป็นนักวิจัยที่ทำงานอยู่ในสถาบันทางการแพทย์ ทำการวิจัยและประดิษฐ์คิดค้นวิทยาการใหม่ๆทางการแพทย์เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติ

- เป็นแพทย์ฝ่ายป้องกัน โดยต้องออกไปปฏิบัติการในท้องที่ทุรกันดาร เพื่อให้การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันโรคแก่ประชาชนและหาวิธีป้องกันโรคแก่ประชาชนและหาวิธีป้องกันโรคในชุมชนต่างๆ

- เป็นแพทย์ฝ่ายการสอนหรือครูผู้สอน

ลักษณะทั่วไปของอาชีพ

- ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรค สั่งยา ผ่าตัดเล็ก รักษาอาการบาดเจ็บ โรค และอาการผิดปกติต่างๆของผู้ป่วย

- ตรวจผู้ป่วยและตรวจหรือสั่งตรวจทางเอกซเรย์หรือการทดสอบพิเศษ ถ้าต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม

- ทำการดูแลหญิงตั้งครรภ์ในระยะก่อนคลอด ทำการคลอดและให้การดูแลรักษามารดาและทารกหลังคลอด

- เก็บรักษาบันทึกเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ได้ตรวจโรคที่เป็นและการรักษาที่ได้ให้หรือสั่ง

- อาจผสมยา อาจรับผิดชอบและสั่งงานพยาบาลในโรงพยาบาลหรือสถาบันอื่นดดยจะปฏิบัติงานในโรงพยาบาลหรือ

สถานพยาบาล โดยตรวจคนไข้ที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกวันและต้องตรวจคนไข้นอกที่เข้ามารับการรักษา

*** ผู้ที่เป็นหมออาจถูกเรียกตัวได้ทุกเวลาเพื่อทำการรักษาคนไข้ให้ทันท่วงที ผู้ที่เป็นหมอต้องพร้อมเสมอที่จะสละเวลาเพื่อรักษาคนไข้ ในที่ทำงานจะต้องพบเห็นคนเจ็บ คนไข้ และคนตาย แพทย์จึงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะหากมีจิตใจที่อ่อนไหวต่อสิ่งที่ได้พบเห็น จะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานได้

คุณสมบัติของผู้ที่ประกอบอาชีพแพทย์

- ความจำ คณะเนี้ยต้องใช้สมองที่มีความจำดีเลิศเลยนะ เพราะการเป็นหมอเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการติดคุกเชียวนะถ้าคุณทำ

ผิดพลาดหรือจำสับสน จำไม่ได้ ในการรักษา(อย่าพึงตกใจในทางตรงกันข้ามอาชีพหมอที่มีความเสี่ยงขนาดนี้จึงเป็นอาชีพที่ผู้คนให้การนับถือในสังคมอย่างมาก)

- เมื่อน้องๆจบคณะนี้มาแล้วต้องสามารถที่จะเสียสละเวลาและความสุขส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนจากการเป็น

ป่วย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รังเกียจผู้ป่วย มีความเมตตาและมีความรักในเพื่อนมนุษย์ มีความเสียสละที่จะเดินทางไปรักษาพยาบาลผู้คนในชุมชนทั่วประเทศ

- มีมนุษยสัมพันธ์ดี ผู้เป็นหมอควรมีการปรับตัวเข้ากับคนทุกระดับได้ มีความสนใจเพื่อนมนุษย์และสังคมรอบตัว

- สุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่ายกายและจิตใจ ไม่พิการหรือทุพพลภาพ ไม่เป็นโรคตาบอดสี มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ

อดทน

- รอบคอบ ช่างสังเกต และละเอียดถี่ถ้วนแต่ต้องฉับไว เพราะช้านั้นอาจหมายถึงชีวิตผู้ป่วย

- ซื่อสัตย์ ในวิชาชีพของตน มีคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ไม่ใช้ความรู้ทางวิชาการของตนไปหลอกลวงหรือ

ทำลายผู้อื่น

- ฐานะการเงินดีพอสมควร แม้ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการเงินส่วนหนึ่งแล้วก็ตามแต่ในการเรียนจำเป็นจะต้องซื้อตำรา

ต่างประเทศ

แนวทางในการประกอบอาชีพ

อาชีพแพทย์ถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเป็นอาชีพที่มีการเสียสละสูง สามารถรับราชการโดยทำงานในโรงพยาบาล สถานพยาบาล สถานีอนามัย หรือหน่วยงานการแพทย์ของกระทรวง กรม ที่จัดขึ้นเพื่อบริการประชาชนหรือทำงานในโรงพยาบาลเอกชน นอกจากนี้ยังสามารถเปิดคลินิกส่วนตัวได้ด้วย แนวโน้มของตลาดแรงงานสำหรับอาชีพนี้ยังคงมีอยู่ ดังนั้นแพทย์สามารถหางานได้ง่าย เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่ห่างไกลจากความเจริญในตัวเมือง

ความก้าวหน้าในอาชีพ

แพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์สูงจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งจนถึงระดับผู้บริหารหรืออาจเปิดคลินิกรักษาคนไข้ทั่วไปนอกเวลาทำงานเป็นรายได้พิเศษ สำหรับผู้ที่มีความชำนาญและมีทีมงานที่มีความสามารถรวมทั้งมีเงินทุนจำนวนมากก็สามารถเปิดโรงพยาบาลได้

แพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง อาจได้รับการว่าจ้างให้ไปทำงานในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลหลายแห่งทำให้ได้รับรายได้มากขึ้น



คณะพยาบาลศาสตร์

คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการสถาปนาเป็นคณะวิชาในอันดับที่ 16 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2531 ก่อนที่จะได้รับการสถาปนาเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ คณะฯได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนโดยเป็นภาควิชาพยาบาลศึกษา ภายใต้การบริหารงานของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดดำเนินการสอนมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2510 โดยความร่วมมือระหว่างกองการพยาบาล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนครูพยาบาลและพยาบาลวิชาชีพ เป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทยที่ผลิตครูพยาบาลระดับปริญญาตรี การดำเนินงานในระยะแรกได้รับการช่วยเหลือจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และกองทุนสงเคราะห์เด็กแห่ง สหประชาชาติ (UNICEF) ในด้านอุปกรณ์และทุนพัฒนาอาจารย์

ในปี 2516 ได้เปิดสอนหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพยาบาล ซึ่งเป็นหลักสูตรปริญญาโท ทางการพยาบาล หลักสูตรแรกในประเทศไทย โดยมีภารกิจหลักคือ การผลิตผู้นำทางพยาบาล ทำหน้าที่ทั้งในสถาบันการศึกษาและ การบริการพยาบาล ต่อมาภาควิชาได้เสนอโครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์อย่างเป็นทางการไปยังทบวงมหาวิทยาลัยเพื่อรับการพิจารณาจัดให้อยู่ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 5 (พ.ศ.2525 - 2529) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยดำเนินการภายใต้การบริหารของคณะครุศาสตร์และได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ ณ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2531 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนที่ 239 ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2531

คณะพยาบาลศาสตร์ ได้ดำเนินกิจการโดยยึดมั่นในพันธกิจ จุดมุ่งหมายและหน้าที่ตลอดมา ได้สืบต่อการจัดการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารการพยาบาล ตั้งแต่ปีการศึกษา 2516 ซึ่งมีการปรับเป็นหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ในปีการศึกษา 2533 และได้เปิดสอนสาขาวิชาการพยาบาลศึกษา เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2535 โดยที่คณะพยาบาลศาสตร์ตระหนักถึงการปฎิบัติตามพันธกิจในการเป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงที่มุ่งผลิตผู้นำทางการพยาบาล บุกเบิก ค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ทางพยาบาลศาสตร์ในระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาวิชาการที่มุ่งสู่การพัฒนาสุขภาพประชาชน และเพื่อตอบสนองความต้องการของวิชาชีพในการเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการบริการพยาบาล คณะฯจึงได้เปิด หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพยาบาล เป็นกรณีพิเศษ คือ จัดการเรียนการสอนนอกเวลา ราชการในภาคปลาย ปีการศึกษา 2542 เปิดสอนสาขาวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช ในภาคต้น ปีการศึกษา 2543 และเปิดสอนสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ซึ่งมีการเรียนการสอนใน 5 กลุ่มวิชา คือ การพยาบาลมารดา การพยาบาลเด็ก การพยาบาลผู้ใหญ่ การพยาบาลผู้สูงอายุ และการพยาบาลอนามัยชุมชน ในภาคต้น ปีการศึกษา 2549 และเปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรดุษฎีบัณฑิต ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2544 สำหรับปีการศึกษา 2546 นี้ คณะฯ ได้ประกาศเปิดรับสมัครหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ในระบบการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible learning) โดยมีศูนย์ที่จังหวัดตรัง และมีนโยบายจะเปิดศูนย์จังหวัดน่าน และศรีสะเกษตามมาในปีการศึกษาต่อไปตามแผนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



คณะเภสัชศาสตร์

เภสัชศาสตร์ คือศิลปะในแขนงวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการปรุงผสม ผลิตและจ่ายยา รวมทั้งการเลือกสรรคุณภาพของยา เวชภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการ และให้คำปรึกษาที่เหมาะสม ตรวจสอบทบทวนการใช้ยา พร้อมทั้งติดตามดูแลการใช้ยาของผู้ป่วย

ภาพรวมของเภสัชศาสตร์คือระบบความรู้ที่ก่อให้เกิดความสามารถที่จะให้บริการด้านสุขภาพด้วยความเข้าใจ ในเรื่องของยาและผลที่เกิดหลังจากการใช้ยา เพื่อให้การบำบัดรักษาให้เกิดผลดีแก่ผู้ป่วยมากที่สุด โดยจะรับผิดชอบร่วมกับบุคลากรสุขภาพอื่นๆ เช่น แพทย์ พยาบาล รวมถึงสัตวแพทย์ด้วย ในอันที่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เภสัชศาสตร์ยังเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ผลิตยาในรูปแบบต่างๆ ตามคุณภาพมาตรฐานที่เหมาะสมตามกำหนด

หลักสูตรการศึกษา

ผู้ที่จบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จากได้รับวุฒิ เภสัชศาสตร์บัณฑิต ปัจจุบันมี 2 สาขา คือ

1. สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ ใช้เวลาการศึกษา 5 ปี

2. สาขาวิชาบริบาลเภสัชกรรม ใช้เวลาการศึกษา 6 ปี

โดยจะต้องศึกษาตลอดของการเรียนการสอน จะแบ่งออกได้ดังนี้

2.1 ในชั้นปีที่ 1-2 จะเป็นการศึกษาด้านเตรียมเภสัชศาสตร์ จะศึกษาในหมวดวิชาพื้นฐานทั่วไป ประกอบด้วยวิชาในด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน และ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ

2.2 ในชั้นปีที่ 3-5 จะเป็นการศึกษาวิชาเฉพาะทางเภสัชศาสตร์ จะศึกษาในหมวดวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน ชีวเภสัชศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา สาธารณสุข หลักในการเกิดโรค และจุลชีววิทยา

และศึกษาวิชาทางด้านวิชาชีพ ทฤษฎี ปฏิบัติการ และการฝึกงาน ประกอบไปด้วย เภสัชวิเคราะห์ เภสัชศาสตร์สัมพันธ์ อาหารและเคมี โภชนาการศาสตร์ บทนำเภสัชภัณฑ์ เภสัชพฤกษศาสตร์ ชีวเภสัชกรรมและเภสัชจลนศาสตร์ เภสัชเวท เภสัชกรรมและการบริหารเภสัชกิจ เภสัชวิทยาและเภสัชวิทยาคลินิก นิติเภสัชและจริยธรรม พิษวิทยา เภสัชอุตสาหกรรม เภสัชเคมี และ การปฏิบัติฝึกงาน

3. ในชั้นปีที่ 5-6 จะเป็นการศึกษาในหมวดวิชาสาขาที่นักเรียนสนใจเน้นความชำนาญทางวิชาชีพ มีให้เลือก 2 สาขา คือ

- สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ ( สายผลิต ) โดยศึกษาในชั้นปีที่ 5 จะเน้นศึกษาในด้านการผลิตยา การค้นคว้าตัวยา และควบคุมคุณภาพมาตรฐานของยา รวมถึงการวิจัยยาและคิดค้นสูตรยาใหม่ๆ

เภสัชกรทางด้านสาขานี้เหมาะกับสายงานในด้านการผลิต ซึ่งส่วนมากจะทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตยา เช่น เภสัชกรอุตสาหกรรม เภสัชกรฝ่ายผลิตยา เภสัชกรแผนกควบคุมมาตรฐานตัวยา เภสัชกรฝ่ายการวิจัยคิดค้นตัวยา หรือรับราชการในกระทรวงทางด้านอาหารและยา หรือ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ

- สาขาวิชาบริบาลเภสัชกรรม ( สายคลินิก ) จะเน้นในการศึกษาด้านการบริบาลเภสัชกรรมมากขึ้น ในด้านการใช้ยาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วย การแนะนำปรึกษาการใช้ยาที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย และการสร้างเสริมสุขภาพ โดยจะศึกษาเนื้อหาเพิ่มอีก 1 ปี

เภสัชกรทางด้านสาขานี้เหมาะกับสายงานในด้านการบริบาล ซึ่งอาจจะทำงานในโรงพยาบาล คลินิก ร้านยา สถานบริการสุขภาพ เช่น เภสัชกรโรงพยาบาล เภสัชกรประจำร้านยา เภสัชกรชุมชน เภสัชกรการตลาด เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค หรือรับราชการในกระทรวงทางด้านอาหารและยา และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ

4. การฝึกงาน

- สาขาเภสัชศาสตร์ จะฝึกงานใน โรงงานผลิตยา สำนักสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม ศูนย์วิจัยต่างๆ โรงพยาบาล ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์

- สาขาบริบาลเภสัชกรรม จะฝึกงานใน ร้านขายยา โรงพยาบาล สำนักการควบคุมโรค

ลักษณะทั่วไปของอาชีพ

- ค้นคว้าพัฒนาตำรับสูตรยาใหม่ๆ เพื่อขึ้นทะเบียน แล้วทำการผลิตยาออกจำหน่าย

- ควบคุมการผลิตยาไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้

- วิเคราะห์ ตรวจสอบยาที่ผลิตให้ได้คุณภาพตามที่กำหนด

- ปรุงยา จ่ายยา และสิ่งที่เกี่ยวข้องตามใบสั่งแพทย์ เช่น ยาน้ำ ยาขี้ผึ้ง ยาเม็ดกลม ยาเม็ดแบน ยาแคปซูล และยาฉีดตาม

ใบสั่งของแพทย์

- ชี้แจงอธิบายยาแก่ แพทย์ พยาบาล และผู้ปฏิบัติงานอื่นๆ ทางการแพทย์ด้าน เคมีภัณฑ์ และการใช้ยา

- ควบคุมการจ่ายยาและยาเสพติดที่ให้โทษ ยาพิษ สารพิษทางการแพทย์ หรือเกษตรกรรม

- ทำหน้าที่วิเคราะห์และทดสอบตามปกติ เพื่อให้ทราบชนิดความบริสุทธิ์ และ ความแรงของยา

- จัดระเบียบและควบคุมยาในคลัง ทำบัญชีประจำคลังยา เคมีภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์

- จัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์สะสมเครื่องใช้การแพทย์ไว้ในห้องยา

- อาจผลิต จำหน่าย และชี้แจงผลิตภัณฑ์ เช่น ยา เคมีภัณฑ์ เครื่องสำอาง ยาการเกษตร และยารักษาสัตว์

- ศึกษาวิธีการใช้เครื่องมือ วิธีการปฏิบัติงานรับผิดชอบ เตรียมความพร้อมของเครื่องมือ

คุณสมบัติผู้ประกอบอาชีพ

1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาวิชาเภสัชศาสตร์

2. เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีความระมัดระวังสูง

3. มีสุขภาพดีและจิตใจดี ไม่พิการ ไม่ตาบอดสี มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความเป็นผู้นำ เนื่องจากต้องควบคุมผู้อื่น โดยเฉพาะสายงานการผลิต มีบุคลิกภาพดี

4. รักในอาชีพนี้ สนใจอย่างเต็มที่ เต็มใจที่จะบริการงานทางด้านสาธารณสุข มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมสูง

5. ต้องมีความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ เคมี และ ชีววิทยา สามารถสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้

6. ชอบค้นคว้า วิเคราะห์ ทดลอง

7. มีจิตใจหนักแน่น ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ และมีคุณธรรมและจริยธรรม

8. มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีทัศนะที่ดีต่องาน มีอุดมการณ์ที่คิดจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่น

9. มีความสามารถในการวางแผน และสนใจวิทยาการเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะทางด้านเคมี ชีววิทยา

10. มีความสามารถในการจำที่ดีเยี่ยม เพราะต้องจำชนิดของยา ส่วนประกอบของยา และต้นไม้ที่มีประโยชน์เป็นฤทธิ์ยา รวมทั้งจำชื่อยาต่างๆ และสารเคมีที่ใช้บำบัดรักษาโรค

11. มีความคล่องทางด้าน การอ่าน เขียน พูด ภาษาอังกฤษที่ดี เพราะชื่อของชนิดยา และ สารเคมีต่างๆ เป็นชื่อภาษาอังกฤษ

12. มีสุขภาพแข็งแรง จิตใจดี สมบูรณ์ แข็งแรง สายตาดี ไม่เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง







แนวทางการประกอบอาชีพ

ปัจจุบันความต้องการของยาสำหรับการแพทย์ปัจจุบัน และ การแพทย์แผนโบราณ มีเพิ่มมากขึ้นตามอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร แนวโน้มในการทำงานของอาชีพนี้ยังคงมีอยู่มาก ถ้าไม่เลือกงานและมีความสามารถที่ดีก็จะไม่มีการตกงานเลยสำหรับอาชีพเภสัชกร เภสัชกรสามารถเข้าทำงานได้ในสถานที่เหล่านี้

1. เภสัชกรโรงพยาบาล ทำหน้าที่จ่ายยา แนะนำปรึกษาเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้อง และติดตามผลการใช้ยาของผู้ป่วย

2. เภสัชกรอุตสาหกรรม เป็นเภสัชกรในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตยา โดยแยกเป็นแผนกได้ดังนี้

2.1. แผนกผลิต

2.2. แผนกควบคุมการผลิต

2.3. แผนกวิจัยคิดค้นตำรับยา

3. เภสัชกรชุมชน เภสัชกรประจำร้านขายยา ทำงานในร้านยาชุมชน อาจเป็นผู้จัดการ หรือเจ้าของกิจการร้านยา ทำหน้าที่จำหน่ายยา แนะนำปรึกษาเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้อง

4. เภสัชกรตลาด Detialer ทำหน้าที่เป็นเภสัชกรผู้แทนที่จะออกไปพบลูกค้า พบหมอ หรือ เภสัชกรห้องยา เพื่อแนะนำยาของบริษัทที่ตนสังกัดอยู่ มีความสามารถในการค้าขาย ชักชวนให้เขาสั่งยาที่แนะนำนั้นได้ และมีความรู้ที่ดีอธิบายตัวยาที่ตนขาย ปัจจุบันในประเทศไทยมีเภสัชกรที่ทำงานในด้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก

5. เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เช่น สารวัตรอาหารและยา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ยาอาหารหรือเครื่องสำอาง และเคมีภัณฑ์

6. รับราชการต่างๆ เช่น สำนักกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

7. อาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์ผู้สอนนักศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์ ของแต่ละสถาบันนั้น

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ

- สายงานด้านการตลาด มีความกระตือรือร้น มีความคล่องตัวในการค้าขาย แสวงหาความรู้ด้านการตลาด รู้จักวิเคราะห์

เศรษฐกิจและสังคมได้เป็นอย่างดี

- สายงานด้านโรงพยาบาล มีความสามารถในการบริหารงาน และการบริการที่ดี

- สายงานราชการ ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถและผลงานทางวิชาการ

- สายงานด้านเอกชน อยู่ที่ความรู้ความสามารถและผลงาน ความรับผิดชอบและความกระตือรือร้น

การศึกษาต่อ

เภสัชกรที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี สามารถศึกษาต่อได้ในระดับปริญญาโท และ ปริญญาเอก ตามสาขาที่ตนถนัดหรือใช้ในการปฏิบัติงาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ



คณะรัฐศาสตร์

สถาบันหลักๆที่สอนวิชารัฐศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในประเทศไทย หลักๆแล้ว จะมีอยู่ 3 แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น เปิดสอนใน 3 สาขา คือ คือการเมืองการปกครอง การระหว่างประเทศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และบริหารรัฐกิจ ส่วนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น จะเปลี่ยนชื่อสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ เป็นรัฐประศาสนศาสตร์(วิชาที่ว่าด้วยการบริหารรัฐ) และจะเพิ่มภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเข้าไป ดังนั้น รัฐศาสตร์ จุฬาฯ จึงเป็นคณะรัฐศาสตร์เดียวในประเทศไทยที่มี 4 ภาควิชาและภาควิชานี้เองที่ทำให้รัฐศาสตร์ จุฬาฯ มีความ "พิเศษ" ต่างไปจากรัฐศาสตร์แห่งอื่นๆ ต่อไปนี้พี่จะพูดอย่างกว้างๆถึงรายละเอียดของวิชาเรียน ในแต่ละสถาบันไม่แตกต่างกันนัก คือๆกันนั่นแหละ



ภาควิชาการปกครอง/ภาควิชาการเมืองการปกครอง

ถ้าอยากเข้าใจ "รัฐศาสตร์" หรือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ อย่างชัดเจน ต้องเลือกเรียนภาควิชานี้เท่านั้น เรียนแล้วจะเข้าใจว่าทำไมอาจารย์ไชยยันต์ ถึงยอมฉีกบัตรเลือกตั้งลงข่าว จะพบคำตอบเบื้องหลังการฉีกบัตรเลือกตั้งครั้งนี้ ว่ามันมาจากปรัชญาการเมืองข้อหนึ่ง คือ ประชาชนมีสิทธิ์ดื้อแพ่งต่อรัฐ ถ้าเห็นแล้วว่ารัฐใช้กฎหมายบูดๆเบี้ยวๆ ภาควิชานี้ส่วนใหญ่จะเรียนเกี่ยวกับรัฐ สังคม ปรัชญาการเมือง แนวคิดทฤษฎีทางการเมือง การเมืองการปกครองไทย การปกครองท้องถิ่น มีวิชาเลือกเป็นวิชาตำรวจให้ด้วย เผื่อคนไหนสนใจอยากจะสอบตำรวจ

ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ/ภาควิชาการระหว่างประเทศ

ภาควิชานี้ เป็นภาควิชาที่ได้ชื่อว่าคะแนนสูงที่สุดของสายศิลป์ บางปีสูงกว่าอักษรศาสตร์หลายช่วงตัว ศึกษาเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ แรกเริ่มเดิมทีนั้น รัฐแต่ละรัฐ มีความไม่เท่ากัน เหลื่อมล้ำกัน รัฐที่มีความมั่งคั่งไม่ว่าจะทางทรัพยากรหรือสติปัญญา ก็จะกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบรัฐที่ด้อยกว่า ดังจะเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนได้จากลัทธิอาณานิคม นั่นเอง แต่ทว่า ในเวลาต่อมา ได้มีการจัดตั้งระเบียบโลก ขึ้นมา เพื่อมิให้เกิดปัญหาการต่อสู้ รบราฆ่าฟันกันระหว่างรัฐอีก ผ่านสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย สนธิสัญญานี้ มีผลทำให้รัฐแต่ละรัฐ มีความเท่าเทียมกัน มีเสียงหนึ่งเสียงสำหรับโหวต ไม่พอใจเดินออกจากที่ประชุมได้ฯลฯ เหล่านี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบสมัยก่อนอีกแล้ว(สมัยก่อนที่รัฐที่แข็งแรงกว่าจะกดขี่รัฐที่อ่อนแอกว่า ตามธรรมดาโลก ไม่ซับซ้อนอะไร ใช้ทฤษฎีสัจจนิยม Realism ซึ่งสำนวนสั้นๆที่อธิบายทฤษฎีนี้ได้ดีที่สุดก็คือ "มือใครยาวสาวได้สาวเอา" อันเดียวก็อธิบายได้ รัฐเป็นอนาธิปไตย ไม่มีประชาธิปไตย ต่างแก่งแย่งผลประโยชน์กันอย่างเมามัน) แต่ผลจากสนธิสัญญาฉบับนี้ ทำให้รัฐทุกรัฐที่จะมามีบทบาทในเวทีของโลกต้องเป็นรัฐอธิปไตย ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ จึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากกว่าเมื่อก่อน(ปัจจุบันยิ่งซับซ้อนใหญ่ เพราะกระแสโลกาภิวัฒน์ ผ่านความรวดเร็วว่องไวของการสื่อสารและคมนาคม) และด้วยความซับซ้อนนี้เอง ที่ทำให้ปรากฏการณ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ กลายเป็นวิชาให้ได้เรียนได้ศึกษากัน ยิ่งโลกาภิวัตน์เป็นไปอย่างรวดเร็วเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐยิ่งเป็นเรื่องสลับซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น เรียนๆไปแล้วก็สนุกดี เหมือนดูละครน้ำเน่า มีแต่ละประเทศจะใช้ไหวพริบ เหลี่ยมคูต่างๆเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แห่งชาติให้ตัวเองให้มากที่สุด มีมิตร มีศัตรู มีมือถือสากปากถือศีล เช่น อเมริกาสมัยหนึ่งบอกปาวๆว่าตัวเองเป็นประเทศเสรีนิยม แต่กลับมี "มหามิตร" เป็นประเทศคอมมิวนิสต์แทบจะทุกหย่อมหญ้า ฯลฯ

วิชาเรียนในภาคนี้จะเน้นเป็นภูมิภาคศึกษา เน้นศึกษาแต่ละประเทศๆไป เช่น อเมริกา ยุโรป ยุโรปตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก หรือศึกษาเป็นประเด็นต่างๆ เช่น การเมืองโลกผ่านสื่อภาพยนตร์ องค์การระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ การก่อการร้าย ความมั่นคงศึกษา ยุทธศาสตร์ศึกษา นโยบายต่างประเทศของประเทศทั้งหลาย หรือศึกษาเป็นประวัติศาสตร์ เช่น ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย

ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

สังคมวิทยาได้ชื่อว่าเป็น "ราชินีแห่งศาสตร์" (ส่วนราชาแห่งศาสตร์ คือวิทยาศาสตร์) เพราะว่าศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสังคมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จนไปถึงศาสตร์ประยุกต์ของสังคมศาสตร์ อย่าง นิติศาสตร์ นิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ ล้วนแล้วแต่มีสังคมวิทยาแทรกเป็นยาดำทั้งสิ้น

มานุษยวิทยานั้น แปลได้ตรงตัวว่าเป็น "การศึกษาเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์อย่างรอบด้าน ทุกซอกทุกมุม" ในสหรัฐอเมริกา วิชานี้ได้แบ่งออกเป็น 4 สาขาใหญ่ๆ คือ มานุษยวิทยากายภาพ ศึกษาเรื่องลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการของมนุษยชาติ ตั้งแต่วิวัฒน์จากลิงเกาะบนต้นไม้(ไพรเมท primate)มาเป็นคนปัจจุบันนี้(มนุษย์ปัจจุบันนักมานุษยวิทยากายภาพจะเรียกว่า โฮโม ซาเปี้ยน ซาเปี้ยน (homo sapiens sapiens)) และศึกษาถึงความแตกต่างระหว่างรูปร่าง ลักษณะของมนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างๆในโลกปัจจุบันนี้ ตัวอย่างง่ายๆก็คือการแบ่งมนุษย์ เป็นสามรูปแบบง่ายๆนั่นเอง คือ นิกรอยด์ มองโกลอยด์ คอเคซอย ในเมืองนอกจะเรียนเป็นหมอเลย มีผ่าศพ ดูศพ ดูกระดูก ตรวจเลือด ในประเทศไทยมีสอนที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาต่อมา คือ มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ ศึกษาถึงภาษาต่างๆบนโลกใบนี้ การออกเสียง ตระกูลของภาษา สาขาที่สาม คือมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ศึกษาถึงวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ยังคงอยู่หรือกำลังจะสูญหายในปัจจุบัน กล่าวคือ ศึกษาถึงสถาบันต่างๆของมนุษย์ ในสังคมขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องเป็นสังคมดั้งเดิมแบบชนเผ่าก็ได้ แต่เป็นสังคมเล็กๆ หรือหน่วยทางสังคมเพียงหน่วยเดียว ไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว สถาบันการปกครอง สถาบันศาสนา สถาบันฯลฯ เหมือนสังคมวิทยาทุกอย่าง เพียงแต่เป็นการศึกษาในสังคมเล็กๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็ รายการคนค้นคน นั่นแหละ คือการศึกษาทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรม เช่น กะเทยแบกข้าวสาร เด็กสองคนหาเลี้ยงพ่อแม่ด้วยการขายน้ำเต้าหู้ และการศึกษาสังคมเล็กๆนั้น ต้องเป็นการศึกษาอย่างเจาะลึก ทุกด้านของชีวิต เพราะมนุษย์เกิดมา ไม่ได้มีแค่ด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต แต่มนุษย์มีส่วนร่วมในทุกมนุษย์ไม่ได้มีชีวิตเพื่อเศรษฐกิจอย่างเดียว สาขาสุดท้าย คือ โบราณคดี เป็นการศึกษาวัฒนธรรมที่สูญหายไปแล้วของมนุษย์อย่างรอบด้านทุกแง่ทุกมุม ผ่านวัตถุทางวัฒนธรรมต่างๆที่จมอยู่ในดิน เช่น เครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผา กระดูกสัตว์และกระดูกคน ซากพืชซากสัตว์ สิ่งของเหล่านี้จะเป็นพยานปากเอกที่จะบอกว่าในอดีตได้มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมใดๆได้เกิดขึ้นมาบ้าง ผ่านการตีความของนักโบราณคดี เช่น พบกระดูกหมาในหลุมฝังศพ จะบอกได้ว่าสมัยนี้ๆ คนเลี้ยงหมาแล้ว พบเศษอาหารอันประกอบด้วยเมล็ดข้าวและก้างปลากองเป็นก้อนรวมกัน ตรงพื้นดินบริเวณที่ตรงกับกระดูกช่องท้องของโครงกระดูกมนุษย์เพศหญิง ทำให้ทราบว่าอาหารมื้อสุดท้ายที่ผู้หญิงคนนี้กินก่อนตายเป็นข้าวกับปลา ที่โป่งมะนาว จ.ลพบุรี ขุดพบป่าช้าโบราณของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลงเกรียง(เครื่องมือที่ใช้ฉาบปูนในงานก่อสร้างนั่นแหละ เรียกว่าเกรียงฉาบ เป็นเครื่องมือของนักโบราณคดีเวลาเริ่มต้นขุดค้นจากหน้าดิน ค่อยๆปาด ค่อยๆเปิดหน้าดินไปทีละชั้นๆ ช้าแต่ของที่จะพบก็ไม่เสียหาย)ที่ช่องไหน กริดไหน เป็นต้องเจอกระดูกคนไม่ก็ของอุทิศให้ศพทุกทีไป เช่นนี้แล้ว ตีความได้ว่า ชุมชนนี้ต้องเจริญพอสมควร มีผู้นำของชุมชน ที่มีอำนาจจะกันพื้นที่ส่วนหนึ่งของชุมชนให้เป็นป่าช้าได้ มีการจัดระเบียบในชุมชนนั้น เมื่อขุดพบไป พบว่ามีของอุทิศให้ผู้ตาย ตีความว่ามนุษย์สมัยนี้มีความเชื่อในเรื่องชีวิตในภพหน้า ชาติหน้าแล้ว(รวมไปถึงมีความเชื่อเรื่องผี) ของที่อุทิศให้ทำมาจากสำริด แสดงว่ามีเทคโนโลยีในการหลอมสำริดแล้ว กระดูกบางโครง ตบแต่งร่างกายอย่างหรูหรา เครื่องทรงเพียบ แสดงว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีความสำคัญในชุมชน เป็นต้น นักโบราณคดีจะทำหน้าที่เหมือนนักสืบ เมื่อเห็นของในที่ต่างๆต้องวิเคราะห์และตีความให้ได้ เพื่อหาฉากของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาษามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นโบราณคดีจึงเป็น สหวิทยาการ ที่ใช้ศาสตร์ต่างๆมาช่วยกันตีความเหตุการณ์ทางวัฒนธรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นักโบราณคดีบางท่านกล่าวว่าโบราณคดีคือมานุษยวิทยาวัฒนธรรมในภาคอดีตนั่นเอง ซึ่งโบราณคดีจะหาเรียนได้ที่คณะโบราณคดี เท่านั้น ส่วนที่อื่นๆที่เปิดสอนมานุษยวิทยา จะสอนบ้าง พอรู้แต่ไม่ลึกซึ้ง ส่วนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นั้น จะเน้น มานุษยวิทยาวัฒนธรรมเป็นสำคัญ

ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์/บริหารรัฐกิจ

ภาควิชานี้ เรียนเกี่ยวกับการบริหาร ใช้ตำราเล่มเดียวกับบริหารธุรกิจทุกอย่าง แต่มีความแตกต่างอันเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่อยู่ที่จุดประสงค์/เป้าหมายของการบริหาร บริหารธุรกิจ เป้าหมายอยู่ที่กระเป๋าสตางค์ของเจ้าของกิจการ แต่บริหารรัฐกิจ เป้าหมายอยู่ที่ปากท้อง/ความสุขของส่วนรวม ประชาชน แบ่งเป็นสามสาขาหลักๆ คือ บริหาร ทรัพยากรมนุษย์ การคลัง











คณะวิทยาศาสตร์

เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยใช้หลักการสังเกต การตั้งสมมติฐาน ใช้หลักปรัชญาและตรรกวิทยาพยายามสังเกตและวัดปริมาณเป็นตัวเลขออกมาเพื่อความแม่นยำ โดยอาศัยหลักทางคณิตศาสตร์

หลักสูตรการเรียน

คณะนี้จะใช้เวลาในการศึกษา 4 ปี ในชั้นปีที่ 1-2 จะเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปและวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ในชั้นปีที่ 3-4 โดยสามารถเลือกศึกษาในสาขาวิชาที่ถนัดและสนใจ

1. สาขาคณิตศาสตร์

ศึกษาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์บริสุทธิ์และคณิตศาสตร์ประยุกต์โดยเน้นทั้งในด้านทฤษฎีและการนำไปใช้ เน้นหนักการศึกษาเพื่อให้รู้คุณค่าของคณิตศาสตร์ในการคิด มีเหตุผลทั้งในแง่ของวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ สามารถนำไปประยุกต์ในการดำเนินงานวิชาการสาขาต่างๆได้มาก

2.สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์

ศึกษาเกี่ยวกับหลักการเขียนโปรแกรมและการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ระบบสารสนเทศ การวิเคราะห์และออกแบบระบบการจัดฐานข้อมูล ระบบควบคุมการดำเนินงานสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ การสื่อสารข้อมูลและข่ายงานคอมพิวเตอร์

3.สาขาเคมี

ศึกษาเน้นหนักด้านความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของสารอินทรีย์ ตั้งแต่ระดับอะตอมถึงระดับโมเลกุล เพื่อให้ผู้เรียนเคมีสามารถศึกษาขั้นสูงต่อไป และนำไปประยุกต์ในการประกอบอาชีพเกี่ยวกับเคมีในทางอุตสาหกรรมได้

4.สาขาฟิสิกส์

เป็นวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะศึกษาถึงธรรมชาติของสสารแลพะพลังงาน

5.สาขาชีววิทยา

จะศึกษาเน้นทางด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ระดับเซลล์จนถึงระดับชีวิตและสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่

6.สาขาพฤกษศาสตร์

จะศึกษาเน้นหนักเกี่ยวกับรูปร่างลักษณะการเจริญเติบโต การดำรงชีวิต การสืบพันธุ์ การขยายพันธุ์ ความสัมพันธ์ของพืชกับสิ่งแวดล้อม วิวัฒนาการของพืช การจัดจำแนกหมวดหมู่พันธุ์ไม้ ตลอดจนการใช้ประโยชน์ทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เภสัชกรรม

7.สาขาเคมีวิศวกรรม

จะศึกษาเน้นหนักใน 2 สายคือ

- เคมีวิศวกรรม ซึ่งเน้นหนักเกี่ยวกับการควบคุมการผลิตเคมีภัณฑ์และเครื่องอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้

กระบวนการเคมี ตลอดจนออกแบบและควบคุมการทำงานของเครื่องจักรกลในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เครื่องปฏิกรณ์เคมี หอกลั่นลำดับส่วน เครื่องต้มระเหย เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน เป็นต้น

- สายเทคโนโลยีทางเชื้อเพลิง จะศึกษาเน้นหนักไปทางด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เชื้อเพลิงแข็งและ

พลังงานในรูปแบบอื่นๆ การประหยัดพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงและพลังงาน

8. สาขาธรณีวิทยา

จะศึกษาเน้นหนักเกี่ยวกับทรัพยากรธรณี เช่น แร่ หิน เชื้อเพลิงธรรมชาติ น้ำ ตลอดจนวัสดุก่อสร้างทั้งการสำรวจและการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและศึกษาเกี่ยวกับโลกทั้งทางเคมีและกายภาพ เช่น แผ่นดินไหว ธรณีเคมี เป็นต้น

9. สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป

เน้นการศึกษาเพื่อให้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายสาขาเป็นการศึกษาแบบบูรณาการ

10. สาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเล

จะศึกษาเน้นหนักเกี่ยวกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อมของท้องทะเลและมหาสมุทร ตลอดจนการนำทรัพยากรจากท้องทะเลมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น 2 สายวิชา คือ สมุทรศาสตร์สกายะและเคมีและสายชีววิทยาทางทะเลและประมง

11. สาขาชีวเคมี

ศึกษาเกี่ยวกับชีวเคมีพืช ชีวเคมีสัตว์ ชีวเคมีสิ่งแวดล้อม ชีวเคมีประยุกต์ ในการเกษตรและอุตสาหกรรมและชีวเคมีทั่วไป ซึ่งเป็นวิชาที่กล่าวถึงโครงสร้างสมบัติการทำงานและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของชีวโมเลกุลในพฤติกรรมต่างๆของสิ่งมีชีวิต

12. สาขาวัสดุศาสตร์

จะศึกษาเน้นหนัก 2 ทาง คือ

- ทางเซรามิกซ์ เน้นกระบวนการผลิตวัสดุภัณฑ์ตลอดจนการใช้งานของผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมด้านวัสดุ

- ทางพอลิเมอร์ เน้นกระบวนการใช้อุตสาหกรรมด้านพอลิเมอร์ เส้นใย สิ่งทอ พลาสติก สี วัสดุเคลือบผิวต่างๆ

13. สาขาจุลชีววิทยา

ศึกษาเกี่ยวกับลุลินทรีย์ ได้แก่ รา แบคทีเรีย ไวรัส โดยนำไปประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม การเกษตร การอาหาร

การแพทย์ การสาธารณสุขและปรับปรุงมลภาวะและสภาพแวดล้อม

14. สาขาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์

จะศึกษาเน้นหนักทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในการถ่ายภาพและเทคโนโลยีการพิมพ์

15. สาขาเทคโนโลยีทางอาหาร

มี 2 สาย ได้แก่

- สายเทคโนโลยีทางอาหาร จะศึกษาเน้นหนักเกี่ยวกับกระบวนการแปรรูปและการถนอมอาหาร โดยให้มี

คุณภาพและประสิทธิภาพสูง

- สายเทคโนโลยีทางชีวภาพ จะศึกษาเน้นหนักเกี่ยวกับการผลิตสารชีวเคมี ซึ่งได้จากสิ่งมีชีวิต และการนำเอา

ชีวเคมีไปประกอบในอุตสาหกรรมอาหาร การผลิตเอมไซม์และการผลิตสารปฏิชีวนะ

ลักษณะของอาชีพ

นักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ปฏิบัติงานเพื่อศึกษาค้นคว้าหาความจริงตามธรรมชาติ โดยวิธีการวิจัย ทดสอบ ทดลองและวิเคราะห์ สังเคราะห์ มักจะทำงานอยู่ในห้องทดลอง หรือห้องปฏิบัติการทางเคมี ในบางครั้งอาจจะต้องออกไปสำรวจในพื้นที่ตามธรรมชาติ เพื่อเก็บตัวอย่างมาวิจัยในห้องทดลอง

คุณสมบัติของผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้

- ควรเป็นผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เบื้องต้นเป็นอย่างดี

- ควรเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ ช่างซักถามมีเหตุผล ช่างสังเกต มีความกระตือรือร้น มีระเบียบ มีความอดทน ทำงานได้อย่างมีระบบ

- ควรเป็นผู้มีความเชื่อมันในตนเอง กล้าตัดสินใจและแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามคุณสมบัติเหล่านี้เป็นเพียงแต่ส่วนประกอบในการประกอบอาชีพเท่านั้น ที่สำคัญอยู่ที่ใจรัก และความตั้งใจจริงมากกว่า

แนวทางในการประกอบอาชีพ

อาจจะประกอบอาชีพในธุรกิจเอกชน หน่วยงานรัฐบาล ต่างๆเช่น

- เป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษา

- เป็นนักวิจัยในหน่วยงานรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สถาบันวิจัย กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โรงพยาบาล กองพิสูจน์หลักฐาน การไฟฟ้า การท่าเรือ การปิโตรเลียม หรือเป็นนักวิจัยในบริษัทเอกชน โรงงานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ยา พลาสติก และปิโตรเคมี เป็นต้น



คณะวิศวกรรมศาสตร์

คณะนี้เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการนำวิทยาการและความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ คิดค้น ออกแบบและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ การเรียนในคณะนี้ ต้องมีพื้นฐานที่ดีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ซึ่งแน่นอนว่าต้องเรียนสายวิทย์-คณิต เท่านั้น

หลักสูตร

จะเป็นการศึกษาทั้งทางด้านทฤษฎีควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติ ใช้เวลาในการเรียนทั้งหมด 4 ปี

ในชั้นปีที่ 1

จะศึกษาในหมวดวิชาพื้นฐานก่อน ได้แก่ คณิตศาสตร์(แคลคูลัส,เรขาคณิตวิเคราะห์ และสมการดิฟเฟอเรลเชียล) วิทยาศาสตร์ ( กลศาสตร์วิศวกรรม,ความร้อน,แสง,เสียง,แม่เหล็กไฟฟ้า และฟิสิกส์ยุคใหม่ ) เคมี อังกฤษ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา และวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมบางส่วน

ในชั้นปีที่ 2-4

เน้นหนักในภาควิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมและสาขาวิชาเอก ดังนี้

1. สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ การออกแบบและการสร้างสิ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่นำเอาความรู้ทางด้านระบบดิจิตอลมาประยุกต์ใช้กับงานด้านต่างๆได้และวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์

2. สาขาวิศวกรรมเคมี เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ จัดสร้างและกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรมเคมีต่างๆ โดยศึกษาหลักการกระบวนการผลิตต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนผสม สถานะ ภาวะ และลักษณะสมบัติของวัตถุดิบ โดยเน้นการออกแบบอุปกรณ์และโรงงานกระบวนการอุตสาหกรรมเคมี การควบคุมปฏิกรณ์เคมี การคำนวณดุลมวลและพลังงาน ตลอดจนเศรษฐศาสตร์วิศวกรรม

3. สาขาวิศวกรรมเครื่องกล เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วิเคราะห์และออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรและสิ่งประดิษฐ์ ออกแบบแปลนการติดตั้ง ควบคุมการใช้งาน ตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักรกล ระบบความเย็น ระบบปรับภาวะอากาศ หม้อไอน้ำ กังหันไอน้ำ และระบบท่อประเภทต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาทางด้านประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทนประเภทต่างๆ

4. สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ การออกแบบและการสร้างสิ่งประดิษฐ์อุปกรณ์และระบบไฟฟ้ากำลัง ไฟฟ้าสื่อสาร อิเล็กทรอนิกส์และระบบควบคุม โดยเน้นหนักทางด้านประสิทธิภาพในการทำงาน ความปลอดภัย

5. สาขาวิศวกรรมโยธา ศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคของประเทศ

6. สาขาวิศวกรรมโลหการ เป็นศาสตร์และศิลปในการสกัดโลหะจากสินแร่ของมันแล้วทำให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น หลังจากนั้นจัดเตรียมและทำให้อยู่ในสภาพที่เหมาะแก่การใช้งาน

7. สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงสภาวะแวดล้อมและสร้างที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ครอบคลุมถึงการแก้ปัญหาสุขอนามัยภายในโรงงานอุตสาหกรรม การขจัดมลพิษและมลภาวะของน้ำ อากาศ และอื่นๆ

8. สาขาวิศวกรรมสำรวจ เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวกับการวางแผน การรังวัด การคำนวณและวิเคราะห์รายละเอียดของพื้นผิวโลก เพื่อนำมาใช้ในการทำแผนที่ แผนผังหรือกำหนดค่าพิกัด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จำเป็นสำหรับงานด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมต่างๆ

9. สาขาวิศวกรรมเหมืองแร่ เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแร่ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งเพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ

10. สาขาวิศวกรรมอุตสาหกรรม เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน วิเคราะห์ และควบคุมระบบการผลิตต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรมและการบริหารทางธุรกิจ โดยเน้นหนักเรื่องการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดต้นทุนการผลิต ศึกษาแก้ไขปัญหาทางการผลิตและปัญหาต่างๆของโรงงานอย่างมีระเบียบแบบแผน การวางแผนและการควบคุมการผลิต อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างโรงงานกับฝ่ายบริหารด้วย

11. สาขาวิศวกรรมวัสดุ มุ่งเน้นเนื้อหาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของวัสดุทั้งการใช้งานและการพัฒนาทางอุตสาหกรรม ทั้งนี้หลักสูตรได้ครอบคลุมวิชาหลักที่สำคัญๆ ได้แก่ โครงสร้าง สมบัติ กระบวนการ และสมรรถนะของวัสดุ

12. สาขาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ศึกษาเกี่ยวกับกลศาสตร์ของไหล ชลศาสตร์ อุทกวิทยาผิวดินและใต้ดิน วิศวกรรมแม่น้ำ วิศวกรรมทรัพยากรน้ำ การควบคุมคุณภาพน้ำ เป็นต้น

ลักษณะทั่วไปของอาชีพนี้

"วิศวกร" คือผู้นำความรู้ทางด้านวิทย์มาประยุกต์ใช้กับปัญหาต่างๆในลักษณะการคิดค้น การออกแบบและปรับปรุงดัดแปลง การทำงานในวิชาชีพวิศวกรรมอาจแยกตามลักษณะของงานออกเป็นประเภทต่างๆได้ดังนี้

1. งานประเภทสำรวจ อันได้แก่งานแขนงวิศวกรรมสำรวจ วิศวกรรมโยธาทั่วไปและงานของวิศวกรรมเหมืองแร่ เป็นงานซึ่งต้องปฏิบัติอยู่ในต่างจังหวัดและแดนทุรกันดารเป็นส่วนใหญ่

2. งานประเภทออกแบบ เป็นงานทำในสำนักงานถือเป็นหน่วยสมองของงานวิศวกรรมเพราะมีหน้าที่ออกแบบสิ่งก่อสร้างทุกประเภท ทั้งอาคารบ้านเรือน สะพาน เขื่อน ตลอดจนออกแบบเครื่องจักรกลต่างๆเพื่อให้สามารถสร้างแบบให้เป็นจริง แล้วทำให้เป้าหมายของโครงการที่กำหนดไว้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. งานประเภทควบคุมและบำรุงรักษา เป็นงานที่วิศวกรใช้ความรู้ความสามารถของตนเองควบคุมระบบการทำงานของเครื่องกลในสถานที่ต่างๆ ตลอดจนควบคุมและวางแผนปฏิบัติงานด้านวิศวกรรมทุกชนิดเพื่อให้ได้งานตามแบบ ในขณะเดียวกันวิศวกรก็จะต้องคอยบำรุงรักษา ซ่อมแซม เปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆของระบบที่เกิดชำรุดเสียหายขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน

4. งานประเภทวิจัย เป็นงานที่ค้นคว้าแสวงหาความรู้ความก้าวหน้าใหม่ๆในทางวิศวกรรมศาสตร์หรือหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะประยุกต์ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทย์ ซึ่งเป็นงานประเภทที่ทำด้วยความสามารถทางวิศวที่มีอยู่ และงานในส่วนนี้จำเป็นต้องทำงานร่วมกับบุคคลอื่นในหลายสาขาวิชาชีพเสมอ

5. งานประเภทเป็นผู้สอน เป็นงานสอนของครู-อาจารย์ ในสถาบันการศึกษา ทั้งวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย รวมทั้งการเขียนตำราทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้
คุณสมบัติของผู้ที่จะประกอบอาชีพวิศวกร

1. ควรเป็นผู้ที่มีใจรักงานช่าง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบประดิษฐ์คิดค้น

2. ควรมีพื้นฐานความรู้ที่ดีในสายวิทย์-คณิต โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์และการคำนวณ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการเรียนในคณะนี้ ส่วนอังกฤษก็ควรเข้าใจบ้างเพราะตำราที่ใช้ค้นคว้าส่วนใหญ่เป็นตำราภาษาอังกฤษ

3. มีความสามารถในการถ่ายทอดความคิดออกมาได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีความสามารถในการออกแบบ มีความละเอียดรอบคอบ ทำงานประณีต ควรมีลักษณะของความเป็นผู้นำ มีเหตุผลและเชื่อมั่นในตนเอง

แนวทางในการประกอบอาชีพ

เมื่อจบการศึกษาจากคณะนี้แล้วสามารถที่จะประกอบอาชีพได้กว้างขวางทั้งงานราชการ งานเอกชนและงานส่วนตัว นอกจากรับราชการในกรมและองค์กรต่างๆ เช่น กรมโยธาเทศบาล กรมชลประทาน กรมไปรษณีย์โทรเลข กรมที่ดิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก เรือ อากาศ การไฟฟ้าต่างๆ องค์การท่าเรือ การรถไฟ องค์การโทรศัพท์ โทรคมนาคม เป็นต้น แล้วยังสามารถประกอบอาชีพสาวนตัวได้อีก เช่น ทำงานตามบริษัท เป็นที่ปรึกษาออกแบบ รับเหมาก่อสร้างอาคารต่างๆ รับซ่อมเครื่องกล เครื่องไฟฟ้า ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพนี้

ความก้าวหน้าในอาชีพนี้มีแน่นอน เพราะสามารถพัฒนาตนเองในแนวทางที่ตนเองพอใจได้ ซึ่งต่างจากบางอาชีพที่บุคคลก้าวหน้าได้เพราะคุณสมบัติเฉพาะในอาชีพนั้นเท่านั้น ที่สำคัญคือการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของประเทศที่ทำให้วิชาชีพนี้ถูกพัฒนาออกไปอย่าวงไม่มีขีดจำกัด นอกจากความก้าวหน้าในสายงานจะสูงแล้ว รายได้ที่ได้รับก็สูงด้วยเนื่องจากเป็นอาชีพที่ช่วยสร้างความเจริญต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นที่ต้องการสูง



คณะเศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์ก็คือวิชาที่ว่า “ปากท้อง” ของคนในสังคม เมื่อเป็นวิชาที่ว่าด้วยปากท้อง เศรษฐศาสตร์จึงเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมอันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ก็คือ การผลิต การบริโภค และการแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งหน้าที่อันสำคัญของเศรษฐศาสตร์ก็คือ การที่จะต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้ หาชุดคำอธิบายอย่างมีเหตุและผล เพราะการทำความเข้าใจพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์หนึ่งๆ ย่อมที่จะทำให้เราสามารถเฟ้นหานโยบายที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์หนึ่งๆได้ ดังนั้นเศรษฐศาสตร์จึงมีฐานะที่เป็น “ศาสตร์เชิงนโยบาย (Policy Science)” เป็นวิชาที่พยายามหาหนทางที่จะนำพาสังคมไปในทางที่ดีขึ้น คนในสังคมมีปากท้องที่ดีขึ้น และต่างก็อยู่กันอย่างมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
แล้วเรียนอะไรบ้าง??
ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ก็คือ ค่อนข้างจะมีลักษณะที่เป็นศาสตร์เชิงวิชาการ ดังนั้นผู้ที่เรียนเศรษฐศาสตร์จะต้องเรียนทฤษฎี ทฤษฎี และทฤษฎี เพื่อที่จะทำให้ผู้ที่เรียนสามารถเข้าใจและอธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้ และสามารถที่จะให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในแต่ละเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะสม ดูๆไปแล้วที่เขียนมามันช่างดูไกลตัวเหลือ……แต่จริงๆแล้วเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะเราเองทุกคนก็เป็นมนุษย์ที่อยู่ในสังคมดังนั้นการที่เราเข้าใจสังคมที่เราอยู่ดีขึ้นก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมแน่นอน และที่ขาดไม่ได้ก็คือเครื่องมือในการวิเคราะห์ เศรษฐศาสตร์ได้ชื่อว่าเป็น “ศาสตร์ที่แข็ง(Hard Science)” กล่าวคือเป็นวิชาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์สูง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกเลยที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะเต็มไปด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และวิธีการทางสถิติยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นเครื่องมือของนักเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการสร้างทฤษฎี รวมถึงการประมาณแบบจำลอง เพื่อใช้ในการคาดการณ์ผลกระทบของปัจจัยต่างๆ
แต่สำหรับน้องๆที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์หรือสถิติก็อย่าพึ่งรู้สึกท้อแท้ว่าตนเองไม่สามารถที่จะเรียนเศรษฐศาสตร์ได้ เพราะพี่เองก็เป็นคนหนึ่งที่อ่อนวิชาคณิตศาสตร์มาก ขนาดที่เรียนได้เกรด 1 มาตลอด 6 เทอมในสมัยมัธยม เข้ามาเรียนในระดับปริญญาตรีก็ได้เกรด D ในวิชาจำพวกแคลคูลัสและสถิติมาตลอด แต่พี่เองก็ยังเรียนเศรษฐศาสตร์ได้ตลอดรอดฝั่งจวบจนทุกวันนี้

สิ่งที่พี่ต้องการจะสื่อก็คือ การที่เราเก่งเลขใช่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการเรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะเลขไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เลข เลขเป็นเพียงเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เท่านั้น ซึ่งถ้าเราเข้าใจใน concept ของวิชาเศรษฐศาสตร์แล้ว แม้จะเจอเทคนิคทางคณิตศาสตร์บ้าง เราก็จะสามารถแก้ไขมันได้อย่างลุล่วง
โอเค เราอาจจะเก่งเลขมากๆสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐศาสตร์ที่ใช้เลขได้ แต่มันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราขาดความเข้าใจในตัวทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ บางคนถึงแก้ได้คำตอบออกมา ก็ไม่สามารถที่จะระบุถึงนัยยะในเชิงทฤษฎีและนโยบายของข้อนั้นๆได้ ซึ่งเป็นการเรียนเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง อย่าลืมว่าเศรษฐศาสตร์เป็นสังคมศาสตร์ เราจะต้องเรียนมันไปเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมนะครับไม่ใช่ไปตอบประมาณว่าข้อนี้คิดได้ 4 ได้ 5 แล้วจบกัน
สิ่งที่นักเรียนเศรษฐศาสตร์จะต้องเรียนในเบื้องต้นก็คือวิชาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค มหภาคขั้นพื้นฐาน ก่อนที่จะไปเรียนเศรษฐศาสตร์จุลภาค มหภาคในขั้นกลาง รวมถึงต้องเรียนวิชาพื้นฐานจำพวกสถิติและแคลคูลัส วิชาคณิตเศรษฐศาสตร์ ส่วนในปีหลังๆก็จะเริ่มเรียนแบบเจาะเอกซึ่งตรงนี้ก็จะเรียนแขนงวิชาเฉพาะเพื่อให้ผู้ที่เรียนเกิดความชำนาญเฉพาะด้าน และในปีสุดท้ายก็จะเรียนวิชาที่ว่าด้วยระเบียบวิธีวิจัยปิดท้าย
วิชาสุดท้ายถือว่าเป็นวิชาสำคัญมาก เพราะนักเรียนเศรษฐศาสตร์จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำวิจัยได้ การวิจัยเนี่ยแหละจะเป็นการประมวลความรู้ที่มีอยู่ของเราและนำมันไปใช้จริง ซึ่งการทำวิจัยที่ดีสามารถทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆในสังคมได้มากขึ้น รวมถึงสามารถที่จะเสนอแนะทางออกให้แก่ปัญหาที่กำลังพิจารณาอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรียนจบแล้วจะไปทำอะไร??
เป้าหมายที่แท้จริงของการเรียนเศรษฐศาสตร์ก็คือการฝึกฝนผู้ที่เรียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เรียนเศรษฐศาสตร์แล้วจะไปเป็นอะไร พี่ก็อยากจะตอบว่าก็ต้องไปเป็นนักเศรษฐศาสตร์สิครับ แต่ใช่ว่าทุกคนที่เรียนจะต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์เสมอไป และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ก็ยังมีประโยชน์กับเราแน่นอน
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์เชิงวิชาการ ไม่เหมือนบางสาขาที่มีลักษณะเป็นวิชาชีพ ดังนั้นคนที่เรียนเศรษฐศาสตร์มักจะบ่นว่าวิชาตัวเองตลอดว่าเรียนไปก็เอาไปใช้ไม่ได้ เพราะเรียนแต่ทฤษฎีไม่เห็นสอนวิธีหรือทักษะในการทำงานเลย ซึ่งพี่คิดว่าคนที่พูดเช่นนี้คงผิดพลาดในบางประเด็น เราควรจะต้องตีความคำว่า”เอาไปใช้จริง”ก่อนว่ามันหมายถึงอะไร
สำหรับวิชาเศรษฐศาสตร์การ “เอาไปใช้จริง” ก็คือการนำความรู้และทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ไปใช้ในการวิเคราะห์ วิจัยเรื่องราวและปัญหาต่างๆ ผลิตผลงานวิจัย หนังสือ หรือบทความต่างๆเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม
แต่ไม่ได้หมายความว่าเรียนเศรษฐศาสตร์มาแล้วจะต้องไปเป็นนักวิจัย อาจารย์หรือนักวิชาการเท่านั้น เพราะวิชาเศรษฐศาสตร์เองก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายระดับ สิ่งที่เศรษฐศาสตร์จะสอนเราก็คือ ทำให้เราเป็นคนที่คิดอะไรอย่างเป็นระบบ และมีเหตุผล อีกทั้งทำให้เราเป็นคนที่มีความรอบคอบในการที่จะทำสิ่งต่างๆด้วย
ถึงแม้ว่าในด้านทักษะการทำงานในแบบต่างๆ เศรษฐศาสตร์อาจจะไม่ได้ให้ในจุดนี้มากนัก แต่สิ่งที่เศรษฐศาสตร์จะให้เราก็คือการที่สอนให้เราเป็นนักคิด เข้าใจและสามารถวิเคราะห์สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราได้อย่างลุ่มลึก และมีเหตุมีผล ดังนั้นแล้ว การเรียนเศรษฐศาสตร์โดยเปิดใจให้กว้างโดยที่อย่าพึ่งไปบ่นใส่มัน พี่ว่ามันจะต้องเป็นประโยชน์อย่างแน่นอนครับ

สำหรับประสบการณ์ของพี่ บรรดาเพื่อนที่เรียนเศรษฐศาสตร์ด้วยกันก็ต่างพากันทำอาชีพที่หลากหลายแตกต่างกันไป บางคนไปเป็นโบรกเกอร์อยู่ในสถาบันหลักทรัพย์ ทำงานธนาคาร เป็นเจ้าที่ในองค์กรต่างๆ อยู่ในฝ่ายจำพวก ฝ่ายงบประมาณฝ่ายบุคคล บางคนก็ทำกิจการส่วนตัว ไปทำเวบไซต์ก็ยังมี ซึ่งจะเห็นได้ว่าเรียนจบเศรษฐศาสตร์ไปสามารถไปทำงานได้หลากหลาย มันสำคัญที่ว่า ถ้าเราชอบและรักสิ่งที่เรียนมันต้องมีหนทางสำหรับเราแน่นอนครับ ขอให้น้องเปิดใจให้กว้าง เพราะอย่างไรก็ตามเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่มีประโยชน์แน่นอนครับ และที่สำคัญคือเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่สอนให้เรานึกถึงสังคมส่วนรวมอีกด้วยครับ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเราชอบเศรษฐศาสตร์หรือไม่??
อันนี้พี่ว่าตอบยากนะเนี่ย แต่ส่วนหนึ่งก็ลองอ่านบทความอันนี้แล้วลองคิดๆดูซิว่าเราพอจะรับมันได้หรือไม่ และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกพี่ว่าลองไปหาตำราเศรษฐศาสตร์ไปเปิดๆ พลิกๆอ่าน แล้วลองเชคซิว่าเราพอจะรับมันได้มั๊ย ที่จะต้องเรียนแบบนี้ พี่ว่ามันสำคัญนะครับสำหรับการที่เราจะต้องหาข้อมูลของสิ่งต่างๆให้ครบถ้วน ไตร่ตรองมันให้ดีก่อนที่จะเรียนมัน
สำหรับประสบการณ์ของพี่เองถือว่าโชคดีมากๆ เพราะพี่เองก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนเศรษฐศาสตร์แบบตาสีตาสา ซึ่งในตอนปีแรกๆพี่ไม่ได้มีความชอบในวิชาเศรษฐศาสตร์เลย แต่พอมาช่วงหลังๆพี่ลองเปิดใจและเรียนมันดูพี่ก็พบว่ามันสนุกกว่าที่คิด ทำให้พี่รักและชอบเศรษฐศาสตร์จนมาถึงทุกวันนี้ เราจะไม่รู้ว่าเราชอบอะไรเลยจนกว่าเราจะลองทำมันครับ



คณะศิลปกรรมศาสตร์

เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาวิชาการที่เกี่ยวกับศิลปะและประยุกต์ศิลป์ โดยศึกษาทฤษฎี ประวัติ เทคนิควิธีการสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพ การออกแบบปั้น การพิมพ์ การเล่นดนตรีและการรำ เป็นต้น ทั้งนี้โดยมีจุดหมายให้สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และอนุรักษ์ศิลปกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ รวมทั้งบุกเบิกสร้างสรรค์วิทยาการใหม่ ประกอบด้วยสาขาต่างๆ ดังนี้

1. สาขาทัศนศิลป์ ศึกษาศิลปะบริสุทธิ์ที่รับรู้ผ่านการมองเห็น เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ภาพถ่ายสื่อผสม โดยมีวิชาเฉพาะ เช่น ทฤษฎีศิลปะ ประวัติศิลปะ ปฏิบัติการสร้างสรรค์ศิลปะต่างๆ

2. สาขานฤมิตศิลป์ ศึกษาการออกแบบเพื่อสื่อสารแนวความคิด เช่น การออกแบบกราฟฟิก เครื่องปั้นดินเผา แฟชั่น และนิทรรศการ โดยมีวิชาเฉพาะ เช่น ทฤษฎีการออกแบบ ประวัติการออกแบบ ปรัชญาการออกแบบ และวิชาปฏิบัติการสร้างสรรค์งานออกแบบต่างๆ

3. สาขาดุริยางคศิลป์ แยกออกเป็น สาขาดุริยางคศิลป์ไทย ศึกษาดนตรีไทย และสาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตก ศึกษาดนตรีคลาสสิก โดยมีวิชาเฉพาะ เช่น ทฤษฎีดนตรี ประวัติดนตรี และวิชาปฏิบัติ การบรรเลง ขับร้อง และประพันธ์ดนตรี

4. สาขานาฏยศิลป์ แยกออกเป็น สาขานาฏยศิลป์ไทย ศึกษาการรำไทย และนาฏยศิลป์ตะวันตก เป็นการศึกษาการเต้นบัลเลต์และการเต้นรำแบบตะวันตก โดยมีวิชาเฉพาะ เช่น ทฤษฏีการรำ ประวัติการรำ ปรัชญาการรำ และวิชาปฏิบัติการรำแบบต่างๆ



คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา

การเรียนทางด้านศิลปกรรม เป็นการเรียนเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ศิลปะในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นผู้ที่เลือกเรียนในคณะนี้จึงต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม เช่น

1. ต้องเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีใจรัก สนใจ และมีความถนัดทางด้านศิลปะ

2. มีจินตนาการ มีมุมมองความคิดที่หลากหลาย

3. มีทักษะในการค้นคว้า และการแสดงออกทางศิลปกรรม

4. ต้องยินดีที่จะสละเวลาฝึกฝนทักษะนอกเวลาเป็นพิเศษด้วยตนเอง

5. ต้องไม่มีความพิการอันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาในสาขาวิชานั้นๆ

แนวทางในการประกอบอาชีพ

สามารถทำงานในหน่วยงานราชการ เอกชน หรือประกอบอาชีพอิสระได้ ศิลปกรรมฯเป็นสาขาวิชาชีพเฉพาะทาง ซึ่งเป็นที่ต้องการของสังคมไทย ซึ่งกำลังมีการพัฒนาการด้านศิลปะและการออกแบบ



คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “สถาปนิก” นั่นแหละ เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับการออกแบบกายภาพหรือสิ่งที่จำต้องได้นั้นแหละ เช่น การออกแบบอาคารสิ่งก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์การออกแบบภายใน ตลอดจนการปรุงแต่งสภาพแวดล้อมให้ได้ประโยชน์ใช้สอยที่ดีที่สุด และครอบคลุมถึงด้านการวางแผนและเคหการด้วย

หลักสูตร

คณะนี้จะใช้ระยะเวลาเรียนตามหลักสูตร 5 ปี เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในอาชีพ สามารถออกแบบอาคารหรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆได้อย่างสวยงามได้มาตรฐาน คุ้มค่า และประหยัด รวมทั้งเข้าใจในความต้องการ ความเหมาะสมของเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มบุคคลที่ต่างกันได้

สาขาในกลุ่มนี้มีอยู่ 5 กลุ่มสาขา คือ

1.สาขาสถาปัตยกรรม

เป็นสาขาที่ศึกษาการออกแบบอาคารและสิ่งก่อสร้างทั่วไปโดยคำนึงถึงสภาวะแวดล้อม การใช้วัสดุ วิธีการก่อสร้าง และความรู้ทางสาขาวิชาวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจ สังคมและศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนความงาม

2.สาขาสถาปัตยกรรมภายใน

เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบที่เน้นการจัดที่ว่างภายในอาคารเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความงาม เป็นสาขาที่เมื่อจบมาเราจะเรียกว่า “มัณฑนากร”นั้นแหละค่ะ ซึ่งรายละเอียดของอาชีพนี้จะมีบอกในตอนหน้าน่ะค่ะ

3.สาขาสถาปัตยกรรมไทย

จะศึกษาการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยและศึกษาแหล่งที่มา อิทธิพลขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมไทย ศึกษาและฝึกหัดลายไทยชนิดต่างๆ ตั้งแต่ง่ายไปจนถึงการบรรจุลายลงบนส่วนประกอบสถาปัตยกรรมให้ถูกต้องตามหน้าที่

4.สาขาภูมิสถาปัตยกรรม

จะเน้นหนักด้านการปรุงแต่ง การออกแบบ และปรับปรุงในส่วนของสภาพแวดล้อม ประเภทสวนสาธารณะ สวนสัตว์ สนามเด็กเล่น โดยเน้นที่ความกลมกลืนกันของธรรมชาติ ป่าไม้ และต้นน้ำลำธาร

5.สาขาการออกแบบอุตสาหกรรม

จะเน้นหนักการออกแบบ 5 สาขา คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบตกแต่งภายใน การออกแบบตกแต่งภายใน การออกแบบเลขะนิเทศ การออกแบบเครื่องเคลือบดินเผา การออกแบบสิ่งทอ โดยจะต้องศึกษาพื้นฐานทั้ง 5 สาขา แล้วเลือกเน้นสาขาที่ตนถนัดและทำวิทยานิพนธ์ในสาขานั้น

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ศึกษาในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์นี้ ในช่วง 1-2 ปีแรก จะต้องเรียนวิชาพื้นฐานบังคับ พื้นฐานการออกแบบ และพื้นฐานอาชีพ ในชั้นปีที่ 3 จะเรียนวิชาเฉพาะของแต่ละสาขา พอในชั้นปีที่4จะมีการฝึกงานช่วงปิดเทอม และจะทำวิทยานิพนธ์ในภาคสุดท้ายของชั้นปีที่ 5

ผู้ที่อยากจะเขาศึกษาในคณะนี้ควรเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการและทักษะในด้านทัศนศิลป์เช่น เรื่องสี การวาดลายเส้น และมีความรู้พื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพราะวิชาการออกแบบเป็นศิลปะประยุกต์ ผู้สมัครต้องสอบผ่านวิชาความถนัดด้านการออกแบบด้วย

ลักษณะของอาชีพนี้

อาชีพ “สถาปนิก” คืออาชีพการออกแบบอาคารประเภทต่างๆให้มีความงดงามและประหยัด และต้องตรงกับความต้องการของผู้ใช้อาคารนั้นๆด้วย งานวิชาชีพนี้เป็นลักษณะการบริการเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นสถาปนิกจะต้องคำนึงถึงความสุขความพอใจของผู้อื่นเสมอ

การออกแบบมีหลักว่าจะต้องศึกษาถึงความต้องการของผู้ที่เป็นเจ้าของอาคารให้เข้าใจอย่างละเอียดว่ามีจุดประสงค์และจุดมุ่งหมายอย่างไรและต้องประมาณการว่าแบบที่ได้ออกวานั้นถูกต้องภายในงบประมาณที่ผู้เป็นเจ้าของกำหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งต้องศึกษาในเทคนิคการก่อสร้างและกรรมวิธีที่แปลกใหม่ที่พัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการนำวัสดุใหม่ๆและทันสมัยมาใช่ ข้อสำคัญแบบที่เขียนต้องเรียบร้อยและสมบูรณ์ ต้องเอาใจใส่ควบคุมการก่อสร้างให้ถูกต้องตามแบบที่เขียนไว้ทุกประการ

สถาปนิกจะเป็นผู้ออกแบบซึ่งต้องทำงานตามขั้นตอนและกำหนดเวลาชิ้นงานต่างๆร่วมกับวิศวกรก่อสร้างและนักเขียนแบบโดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้

- บันทึกรายละเอียด ความต้องการของลูกค้า

- ออกแบบ คำนวณแบบ เลือกวัสดุที่มีคุณภาพเหมาะสมและให้ประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า

- คำนวณรายการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับเนื้องาน

- เตรียมแบบและส่งแบบที่วาดโดยช่างเขียนแบบให้ลูกค้าพิจารณา เพื่อ ดัดแปลง แก้ไขและตอบข้อซักถามของลูกค้า

ร่วมกับวิศวกร

- เมื่อแก้ไขสมบูรณ์จึงส่งแบบให้กับวิศวกรทำการก่อสร้าง

- ออกปฏิบัติงานร่วมกับวิศวกรระหว่างทำการก่อสร้าง

- ให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้าง

- วางแผนและควบคุม งานที่สถาปนิกจะได้รับทำเป็นประจำตลอดปีคือ งานปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไขตัวอาคารเพื่อความ

ทันสมัย สวยงามและ ปลอดภัยอยู่เสมอ

คุณสมบัติของผู้ที่สนใจจะประกอบอาชีพสถาปนิก

1. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการในการออกแบบและมีความ สามารถในการวาดภาพเพื่อสื่อความคิดในใจออกมาเป็นรูปธรรมได้พอสมควร

2. มีความสามารถในการประยุกต์ที่ดี เพราะต้องนำเอาศิลปะ วัฒนธรรม วิทยาการและเทคโนโลยีมาผสมผสานกันให้สอดคล้องได้

3. มีความละเอียด รอบคอบ ช่างสังเกต และประณีต เพราะงานออก แบบเป็นเรื่องในเชิงศิลปะและการสร้างประดิษฐ์

4. มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ในการติดต่อประสานงาน เพราะเมื่อทำงานจะต้อง ติดตามผลงานอย่างต่อเนื่องและจะสำเร็จลุล่วงดีได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายดังนั้นในทุกขั้นตอนต้องไม่ให้มีความขัดแย้งกัน

แนวทางในการประกอบอาชีพ

ผู้ที่จบคณะนี้สามารถทำงานได้ทั้งในภาครัฐและเอกชนหรือประกอบอาชีพ ส่วนตัวหรือทำงานบริษัทต่างๆได้อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะด้านการพัฒนา เช่น การออกแบบการก่อสร้าง การอุตสาหกรรม การโฆษณา รายได้ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือ ความสามารถและความนิยมของลูกค้า

ความก้าวหน้าในอาชีพนี้

อนาคตความก้าวหน้าของคนที่ประกอบอาชีพนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และ ความชำนาญในงานเป็นสำคัญโดยมีหลักประกันอยู่ที่ฝีมือและผลงาน ผู้ที่ทำงานใน ภาครัฐจะได้รับการเลื่อนขั้นตามความสามารถถ้าได้รับการศึกษาต่อหรืออบรมหลัก สูตรต่างๆเพิ่มเติมอาจได้เป็นผู้อำนวยการของหน่วยเองที่สังกัดอยู่ ในภาคเอกชน อาจได้เป็นผู้จัดการหรือผู้ดูแลโครงการก่อสร้างหรือเป็นเจ้าของกิจการก็ได้



คณะสหเวชศาสตร์

วิชาชีพเทคนิคการแพทย์เป็นวิชาชีพหนึ่งของสายการแพทย์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหรือที่เรารู้จักกันบ่อยๆ คือ ทำงานทางด้านห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการนี้ เราจะนำไปช่วยในการวินิจฉัยโรค เพื่อบอกว่าผู้ป่วยนั้นเป็นโรคอะไร ใช้ในการพยากรณ์โรคว่าผู้ป่วยมีความรุนแรงของโรคเพียงไร หรือติดตามการดำเนินไปของโรคว่าอยู่ในระยะขั้นไหนแล้ว นอกจากนี้ ผลทางห้องปฏิบัติการยังสามารถที่จะนำไปใช้ในการเฝ้าระวังการระบาดของโรคต่างๆ ได้ค่ะ

ประวัติของวิชาชีพทางเทคนิคการแพทย์นะคะ เดิมทีเดียวในอดีตหน้าที่การตรวจวิเคราะห์ทั้งหมดแพทย์จะเป็นผู้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจทางด้านห้องปฏิบัติการ การจ่ายยา หรือการทำกายภาพบำบัด การฉายรังสี ซึ่งจะเห็นได้ว่าแพทย์จะต้องทำหน้าที่หลายอย่างมาก ตั้งแต่ทำการตรวจอาการของผู้ป่วย ซักประวัติของผู้ป่วย และยังมีหน้าที่อื่นๆ อีกด้วย เมื่อการแพทย์เจริญมากขึ้นความรู้ต่างๆ ของทางสายการแพทย์นี้จะมากขึ้นทวีคูณไปด้วย เชื้อโรคและโรคใหม่ๆ ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน เทคโนโลยีและการตรวจวิเคราะห์ก็สลับซับซ้อนมากขึ้น เลยมีวิชาชีพแขนงอื่นๆ เพื่อเข้ามาช่วยงานของแพทย์ตรงนี้ วิชาชีพที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ได้แก่ เภสัชกรที่ทำหน้าที่จ่ายยา อาชีพเทคนิคการแพทย์ที่ทำหน้าที่ตรวจทางห้องปฏิบัติการ อาชีพนักกายภาพบำบัด หรือ อาชีพนักรังสีเทคนิค อาชีพเหล่านี้เป็นแขนงของงานทางสายการแพทย์ที่มาช่วยงานของแพทย์ค่ะ

งานเทคนิคการแพทย์ส่วนใหญ่หลักๆ จะอยู่ในโรงพยาบาล ที่เห็นได้ชัดก็เป็นการตรวจวิเคราะห์พวกสารชีวเคมีในเลือด เช่น การตรวจระดับน้ำตาล ระดับไขมัน ระดับเอนไซม์ในตับ หรือการตรวจปัสสาวะ การดูเม็ดเลือด ผลึกของนิ่ว การตรวจอุจจาระ ตรวจดูพวกพยาธิต่างๆ ตรวจดูชนิดและปริมาณของเม็ดเลือดขาว เพื่อดูระดับของภูมิคุ้มกันโรค ตรวจดูพวกเชื้อโรคต่างๆ จากเลือด ปัสสาวะ และน้ำไขสันหลัง ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการนี้ จะนำไปช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องและแม่นยำขึ้น ทั้งยังสามารถช่วยวินิจฉัยโรคได้รวดเร็วขึ้นด้วย และทำให้การรักษานี้มีความรวดเร็วเช่นกันค่ะ

ลักสูตรนักเทคนิคการแพทย์จะต้องใช้เวลาเรียน 5 ปี โดยสองปีแรกจะต้องเรียนวิชาพื้นฐานความรู้ทั่วไปและความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่ปีแรกจะเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ เรียนวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีวเคมี และชีววิทยา พอสองปีหลังก็จะเริ่มมาเรียนที่คณะสหเวชฯ ของเรา ซึ่งจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพของนักเทคนิคการแพทย์ คือต้องเรียนเกี่ยวกับวิชาพื้นฐานทางด้านการแพทย์ทั่วไป วิชาทางด้านเทคนิคการแพทย์เองทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติด้วยค่ะ อย่างเช่น วิชาจุลชีววิทยาทางการแพทย์เราจะต้องเรียนเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส หรือพวกปรสิตทางการแพทย์ นอกจากนี้ เราจะต้องเรียนวิชาทางเคมีคลินิก ซึ่งจะตรวจสารต่างๆ ที่อยู่ในเลือด และยังมีวิชาทางจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิก ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับการตรวจเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ปัสสาวะ หรือแม้แต่น้ำคัดต่างๆ ในร่างกาย เมื่อเราสำเร็จหลักสูตรนี้ไปแล้ว ก็จะได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตค่ะ ซึ่งเป็นสาขาทางด้านเทคนิคการแพทย์ แต่ในการที่เราจะไปทำงานในห้องแล็บได้ เราจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาเทคนิคการแพทย์ด้วยถึงจะไปประกอบวิชาชีพได้

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยผู้ผลิตสาขาเทคนิคการแพทย์หรือสหเวชศาสตร์มีอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ทางเอกชนก็จะมีมหาวิทยาลัยหัวเฉียว มหาวิทยาลัยรังสิต และยังมีมหาวิทยาลัยเปิดใหม่อีกแห่งหนึ่ง คือ มหาวิทยาลัยนเรศวร ค่ะ

ฟังดูหลักสูตรการศึกษาแล้ว มีบางส่วนที่เรียนคล้ายๆ กับจะเป็นหมอเหมือนกัน แต่ถ้าสมมุติว่ามีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องรักษาผู้ป่วย ก็ทำไม่ได้นะคะ เพราะว่าเขาจะมีเป็นกฎหมายหรือวิชาชีพเฉพาะ เราไม่สามารถทำได้ อนุญาตให้แค่เจาะเลือดและตรวจวิเคราะห์ผลทางห้องปฏิบัติการเท่านั้นค่ะ

ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาต้องจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า และจะต้องสอบผ่านตามเกณฑ์คัดเลือกของทบวงมหาวิทยาลัยค่ะ วิชาที่สอบเข้าจะมีวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และสังคม เมื่อสอบเข้าได้แล้ว จะต้องมีการสอบสัมภาษณ์ และการตรวจร่างกายนะคะ น้องๆ ที่อยากเรียนจะต้องไม่เป็นผู้พิการ หรือเป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา เช่น ตาบอดสี เพราะถ้าตาบอดสีแล้ว ไม่สามารถที่จะแยกเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเม็ดเลือดแดงได้ จะเป็นอุปสรรคในการวินิจฉัยโรค ถ้าเป็นในระดับที่น้อยๆ อาจจะเรียนได้ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะแยกสีของเม็ดเลือดค่ะ

ซึ่งปีที่ผ่านมาคะแนนสูงขึ้นนะคะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอันดับหนึ่งของทั้งเก้าแห่งค่ะ และยังมีจำนวนผู้ที่สนใจมากขึ้นด้วยค่ะ

อาชีพเทคนิคการแพทย์นี่นะคะ จะต้องมีความรับผิดชอบค่อนข้างสูง เพราะว่าเราจะต้องทำงานเกี่ยวกับชีวิตของผู้ป่วย และจะต้องวิเคราะห์ผลให้ถูกต้องและแม่นยำที่สุด นอกจากนี้ ควรจะมีความละเอียดรอบคอบและเป็นคนช่างสังเกตด้วยค่ะ อ้อ! ความรับผิดชอบต้องมาอันดับแรกเลยนะคะ และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วประกอบอาชีพก็จะเป็นนักเทคนิคการแพทย์ค่ะ

นอกจากนี้เมื่อจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้วยังสามารถศึกษาต่อได้ทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกในสาขาเทคนิคการแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดลจะมีถึงปริญญาเอก แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนแนวไปศึกษาด้านอื่นก็ได้ อย่างเช่น ที่จุฬาฯ ของเรา ก็สามารถจะเรียนสหสาขาได้ เช่น ทางจุลชีววิทยา หรือทางด้านไบโอเทคโนโลยี ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็ได้ค่ะ หรือไปศึกษาต่อทางด้านสายการแพทย์ของทางคณะแพทย์ฯ ก็ได้ เช่น เกี่ยวกับอณูพันธุ์วิศวกรรม ค่ะ

จากข้อมูลโดยรวมแล้วอาชี่พนี้ก็มีความสำคัญมากเลยนะคะ เพราะในปัจจุบันนี้มีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งการวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วยอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถที่จะบ่งบอกถึงสาเหตุของโรคได้ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องอาศัยผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ อีกทั้งเทคโนโลยีทางการตรวจวิเคราะห์มีความเจริญมากขึ้นทุกวัน มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่จะศึกษาลึกลงไปทางด้านนี้เลย แพทย์เองก็มีภาระที่หนักอยู่แล้ว ไม่สามารถที่จะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ทุกๆ ด้าน จึงเห็นได้ว่าวิชาชีพนี้มีความสำคัญมากที่จะมาช่วยให้ผลการวิเคราะห์ทางการตรวจวินิจฉัยโรคมีความถูกต้อง และไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย สามารถที่จะศึกษาทางด้านนี้ได้ทั้งคู่ค่ะ

นอกจากนี้ในต่างประเทศเขาก็มีหลักสูตรหรือวิชาชีพนี้คล้ายๆ กับที่เมืองไทย แต่อาจจะเรียกว่า Medical Technology หรืออาจจะเป็น Allied Health Sciences ก็ได้ การเรียนก็จะคล้ายๆ กัน จะมีหลักสูตรทางด้านเทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด รังสีเทคนิค หรือศาสตร์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ทางด้านอื่น อย่างเช่น ทางด้านโภชนาการ เป็นต้น เราสามารถเรียนได้ที่ University of Texas หรือ University of Tennessee และมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกหลายๆ แห่งค่ะ

การรับนิสิตเข้าเรียนในคณะนี้ที่จุฬาฯ ในแต่ละปี ถ้าเป็นนิสิตสาขาเทคนิคการแพทย์ประมาณ 80-100 คน แต่ถ้าเป็นสาขากายภาพบำบัด ประมาณ 40-50 คน ค่ะ



คณะสัตวแพทยศาสตร์

จะเรียนไปทำไม๊..ตกงานหรือไม่..ใครอยากรู้คำตอบยกมือขึ้น
น้องๆ หลายคนคงสงสัยและหาคำตอบไม่ได้ เวลาคุณพ่อคุณแม่ถามว่า "เรียนไปจะทำงานอะไรลูก"และบางคน ก็แอบคิดในใจ จบไปเป็นหมอหมาเท่านั้นหรือ...วันนี้...พี่มีคำตอบค่ะ
สัตวแพทย์ ก็คือแพทย์ของสัตว์ และสัตว์ ก็ไม่ใช่มีเพียงน้องหมา น้องแมว แต่เรายังรวมไปถึง น้องผีเสื้อ น้องผึ้ง น้องม้าลาย น้องปลา น้องพะยูน น้องโลมา รวมไปถึง น้องม้าและน้องช้าง และน้องอื่นๆ อีกมากมาย ก็โลกเรามันมีสัตว์แค่หมากับแมวเสียที่ไหนกันล่ะ
สัตวแพทย์ คือ "คุณหมอ" เราได้รับเกียรติเรียกเช่นนี้มาเสมอ ศักดิ์ศรีเราไม่ได้มีน้อยกว่า แพทยศาสตร์เลย เราก็เรียกว่า "คุณหมอ" เหมือนกัน ยิ่งในต่างประเทศ ศักดิ์ศรีเราเท่าเทียมกันเลย และเงินเดือนออกจะมากกว่าด้วยซ้ำ ย้ำ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป
งานอย่างแรก ก็คงไม่พ้น คุณหมอ คือรักษาสัตว์ มีทั้งโรงพยาบาล คลินิค มากมาย ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน คืออย่างน้อยคุณจบ คุณก็มีใบประกอบโรค คุณก็เป็นหมอ คำว่าหมอก็ติดตัวคุณจนตาย แม้คุณจะไปเป็นแม่บ้าน คนขับรถ หรือขายข้าวมันไก่ คำว่านายสัตวแพทย์ หรือสัตวแพทย์หญิงก็จะนำหน้าชื่อคุณตลอด เงินเดือนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความขยัน ว่าคุณรับงานมากแค่ไหน รับงานกี่ที่ แต่ที่แน่ๆ ของรัฐก็ไม่ต่ำกว่า 18000 แน่ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ทำทุกวัน และถ้าเปิดคลินิค เท่าที่รู้ประมาณเดือนละ 20,000-30,000นะ
2. ถ้าน้องแบบว่ารักการสอนและเกรดหรู ก็ไปเป็นอาจารย์ ซึ่งเงินเดือนก็งามหลักหมื่นแน่ๆ เพราะวุฒิเราเทียบเท่าปริญญาโท แถมบวกค่าวิชาชีพอีก วันนึงเต็มที่ ก็ 4 ชั่วโมง แล้วก็ไม่ได้สอน 4 ชั่วโมงทุกวันนะ เอาเวลาว่างไปเปิดคลินิค รับจ๊อบโรงพยาบาลได้สบายๆ
3. ทำงานบริษัท ซึ่งเงินเดือนสูงมากมาย ทั้งเงินเดือน ค่าคอม ค่าเบี้ยเลี้ยง มีรถให้ เติมน้ำมันให้ฯลฯ บริษัทเกี่ยวกับอาหารที่ผลิตมาจากสัตว์ ตราบใดที่มนุษย์โลกยังดำรงชีพด้วยปัจจัย 4 ซึ่ง 1 ในนั้นคืออาหาร เราไม่มีวันตกงาน และมีหลากหลายบริษัทมากมายทั้งผลิตอาหารสัตว์ และผลิตอาหารจากสัตว์ บริษัทขายยา วัคซีน ฯลฯ
4. ถ้าคุณเป็นคนชอบสัตว์ใหญ่ สัตว์ป่า ก็มีงานเกี่ยวกับด้านนี้มากมาย เงินเดือนก็งาม ทำงานเท่ห์ๆ ไม่มีใครได้มีโอกาสทำแบบนี้บ่อยๆนะ
5. ถ้าชอบงานมั่นคง ก็ต้องอยู่ ปศุสัตว์ เงินเดือนก็อย่างที่บอก หลักหมื่นแน่ๆ หมื่นปลายๆ ด้วย แถมได้ไปดูงานต่างประเทศด้วยนำ (พ่อเพื่อนอยู่ปศุสัตว์ ได้ไปดูงานบ่อยมากมาย) เงินเดือนน้องก็จะพัฒนาไปตามระยะเวลาที่ทำงาน ยิ่งนาน เงินเดือนก็มาก มากและมาก
6. ฟาร์ม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เงินเดือนงาม กินอยู่ฟรี มีที่เที่ยว ทำงานที่รัก น้องหาอาชีพแบบนี้ไม่ได้ตามเซเว่นนะ
7. อันสุดท้ายที่พี่คิดออกละกัน ทั้งๆ ที่มีอีกเยอะ ก็คือเปิดธุรกิจส่วนตัว ทั้งนี้รวมถึงเปิดคลินิคของตัวเอง เปิดร้านขายอาหารสัตว์ เปิดฟาร์ม ฯลฯ
พี่ว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะช่วยน้องๆ ให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะจ๊ะ ขอให้สัตวแพทย์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้น้องๆ ไปสู่ฝัน



คณะอักษรศาสตร์

เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการเสริมสร้างและพัฒนาจิตใจ ทำให้เข้าใจตนเอง ผู้อื่น สังคม และสภาพแวดล้อม รู้ถึงคุณค่าของคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรม ซึ่งพอจะแบ่งสาขาการเรียนออกเป็นดังนี้

1. สาขาประวัติศาสตร์ ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์ของภูมิภาคต่างๆตลอดจนวิธีการค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาสตร์

2. สาขาภูมิศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทั้งทางด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์ ตลอดจนเทคนิคในทางภูมิศาสตร์และการทำแผนที่

3. สาขาสารนิเทศศึกษา ศึกษาด้านทฤษฎีและปฏิบัติทางบรรณารักษศาสตร์ สารนิเทศศาสตร์

4. สาขาปรัชญา ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมา หลักการ แนวคิด ผลกระทบของปรัชญาต่างๆ

5. สาขาศิลปการละคร ศึกษาเกี่ยวกับการละครในด้านเวที ภาพยนตร์ โทรทัศน์และวิทยุ ทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติ ตลอดจนประวัติและวรรณคดีของละคร

6. สาขาภาษาไทย ศึกษาเกี่ยวกับภาษาไทยและวรรณคดี ผู้ศึกษาจะเลือกเน้นหนักอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 2 อย่างก็ได้

- ด้านวิชาภาษาไทย จะศึกษาหลักเกณฑ์การใช้ภาษาไทย ทฤษฎีภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ หลักและศิลป

การใช้ทักษะภาษาไทยโดยเจาะลึกแต่ละทักษะและวิธีการสื่อสารด้วยภาไทยในกิจการและวงการต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการแปลภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย

- ด้านวิชาวรรณคดีไทย จะศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีไทยสมัยต่างๆอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งทั้งในด้านประวัติ

ความเป็นมาและวิวัฒนาการของวรรณคดี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การวิเคราะห์วิจารณ์และการประเมินค่าวรรณคดีหลายเรื่องที่สำคัญๆโดยใช้ทฤษฏีทางตะวันออกและตะวันตก การประยุกต์ดัดแปลงวรรณคดีมาใช้ในรูปของศิลปะสาขาอื่นๆ

7. สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ศึกษาเกี่ยวกับภาษาและวรรณคดี ผู้ศึกษาจะเลือกเน้นหนักอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 2 อย่างก็ได้

- ด้านวิชาภาษาอังกฤษ จะศึกษาองค์ประกอบของภาษา วรรณคดี ภาษาศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ฝึกทักษะ

ทางการพูด ฟัง อ่านและเขียนถึงระดับสูงและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ

- ด้านสาขาวรรณคดีอังกฤษ ศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีอังกฤษและอเมริกันสมัยต่างๆ เพื่อให้เข้าใจวิวัฒนาการของ

วรรณคดี ฝึกฝนการวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินค่าโดยใช้แนวทางการวิจารณ์ตั้งแต่สมัยคลาสสิกถึงสมันศตวรรษที่ 20 ศึกษาวรรณคดีเอกของโลกที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ

8. สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น ศึกษาการใช้ภาษาในด้านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน การแปลภาษา ตลอดจนศึกษา

วรรณคดีและวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นให้สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นในการศึกษาค้นคว้าทางด้านวิชาการและสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9. สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส ศึกษาการใช้ภาษาในด้านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน การแปล ตลอดจนศึกษาวรรณคดีและอารยธรรมฝรั่งเศส เพื่อให้เข้าใจวิวัฒนาการของวรรณคดีสมัยต่างๆ ศึกษาแนวคิด วิเคราะห์วิจารณ์ศึกษาเฉพาะด้าน เพื่อการประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว โรมแรมและการเลขานุการ ศึกษาการแปลขั้นพื้นฐานเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้

นอกจากนี้ยังมีภาษาอื่นๆ อีกค่ะ คือ ภาษาเยอรมัน สเปน อิตาเลียน จีน บาลีและสันสกฤต ค่ะ





สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา

ขอแนะนำเอกแต่ละเอกกันดีกว่า ว่าที่สำนักวิทยาศาสตร์กรกีฬา จุฬาฯ มีเรียนอะไรกันบ้าง ซึ่งแต่ละเอกนี้ก็จะแตกต่างกันออกไป ตามความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล เริ่มด้วย
1. กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา (Sport Science and Technology)
ผู้ศึกษาในสาขาวิชานี้เหมาะสมสำหรับทำงานในศูนย์สุขภาพ สอนการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และฝึกให้กล้ามเนื้อ และหัวใจแข็งแรง การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังสำหรับการเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสมรรถภาพ ให้กับนักกีฬาและบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ด้วยหรือทำงานให้กับองค์กรกีฬาของโรงเรียน จังหวัด สโมสร และทีมชาติ โดยเน้นความรู้ด้านการป้องกันการบาดเจ็บในการเล่นและการฝึกกีฬารวมถึงการฝึกกีฬาอย่างถูกต้อง ในส่วนเทคโนโลยีการกีฬาสามารถนำความรู้ไปใช้กับการทำงานในบริษัท หรือโรงงานผลิตอุปกรณ์กีฬาและอุปกรณ์ออกกำลังกาย โดยจะมีความรู้พื้นฐานในด้านเครื่องกล ไฟฟ้า อุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์ เพื่อจะได้สามารถแนะนำ ออกแบบ ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญในเรื่องอุปกรณ์ออกกำลังกาย หรืออุปกรณ์กีฬา
ลักษณะนิสัย

รักและชื่นชอบวิทยาศาสตร์ทั้งชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ มีเหตุผล ละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต ชอบทดลองและวิจัย และมีความพร้อมที่จะทำงานทั้งในห้องทดลองและภาคสนาม
2. กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ (Applied Health Science)
ผู้ศึกษาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เรื่องโภชนาการการกีฬาสุขภาพด้านต่างๆ เช่น สุขภาพส่วนบุคคลแต่ละกลุ่มหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพทางด้านร่างกายและจิตใจ สามารถนำความรู้มาประยุกต์ทำงานในส่วนของการดูแลสุขภาพของประชาชน การให้บริการด้านสุขภาพในโรงพยาบาล สถานบริการสาธารณสุข และโรงงานต่างๆ เพื่อที่จะพัฒนาดูแลสุขภาพของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
ลักษณะนิสัย

มีหัวใจในการบริการ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ชอบวิชาชีววิทยาและเคมี และเอาใจใส่เรื่องของสุขภาพทั้งของตัวเองและคนรอบข้าง




3. กลุ่มวิชาการโค้ชกีฬาและจิตวิทยาการกีฬา (Sport Coaching and Sport Psychology)
ผู้ที่ศึกษาในสาขาวิชานี้สามารถทำงานเป็นผู้ฝึกสอนในโรงเรียน จังหวัด และทีมชาติ อีกทั้งยังสามารถเป็นครูสอนในโรงเรียนได้ ถ้าเรียนเพิ่มเติมวิชาครู และเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาในการควบคุมอารมณ์ในการฝึกและแข่งขันกีฬา เพื่อช่วยในการฝึกนักกีฬาให้มีจิตใจที่แน่วแน่ในขณะแข่งขัน เนื่องจากความเครียดในการแข่งขัน และความเครียดจากการคาดหวังของคนดู อาจนำไปสู่การขาดการระงับอารมณ์ ซึ่งจะมีผลต่อการแข่งขัน
ลักษณะนิสัย

รักและชื่นชอบกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ ใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาหรือโค้ช มีความสามารถทางด้านกีฬาที่โดดเด่นอย่างน้อย 1 หรือ 2 ชนิด มีจิตวิทยาและสามารถถ่ายทอดความรู้คนอื่นได้

4. กลุ่มวิชานันทนาการศาสตร์และการจัดการกีฬา (Recreation Science and Sport Management)
ผู้ศึกษาในสาขานี้จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้นำทางนันทนาการ หรือผู้นำเยาวชน นอกจากนั้นยังสามารถบริหารจัดการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หรือการจัดนันทนาการเพื่อการบำบัดได้อีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมนันทนาการ และมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับการจัดการในศูนย์สุขภาพหรือศูนย์กีฬา การบริหารงานบุคคล การทำงบประมาณ การประชาสัมพันธ์การจัดการแข่งขันกีฬาอย่างมีระบบ ต่างๆเหล่านี้เป็นต้น
ลักษณะนิสัย

รักและชื่นชอบความท้าทาย การสร้างอารมณ์สุขสนุกทั้งตัวเองและผู้อื่น มีความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบ กล้าแสดงออก รักการท่องเที่ยว ค่ายและแค้มป์



ขอขอบคุณข้อมูลจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบรวมโดยคุณ Watasin จาก eduzones.com n