วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 ความจริง ชีวิตนักเรียนแพทย์ (Pre-clinic)


หลังจากใช้ชีวิตเป็นนักเรียนแพทย์ มาจนเข้าสู่ปีที่ 3 ยอมรับว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกัน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอน มาพำนักพังพิง ณ เมืองหลวง เพียงลำพัง (ฟังดูรันทดยังกะเด็กขมเข้าบ้านพุทธชาด )
บวกกับการที่ต้องเข้ามาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆทั้งหมด ต้องเรียนรู้สังคมที่ต่างออกไป ทำให้ต้องปรับตัวเยอะมาก
และวันนี้ เราก็ค่อนข้างเสถียรพอสมควร (หรอ?) พอลองนึกย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ........ ไม่ควรพูดอย่างนี้สินะ  ........... เอาใหม่ ... พอลองนึกย้อนกลับไปตอนที่เรายังไม่เข้ามายืนหายใจอยู่ในคณะนี้ พบว่าตอนนั้น เรายังไม่รู้ความจริงหลายๆอย่าง 
เมื่อก่อน เรามองว่านักเรียนแพทย์ต้อง บ้าเรียน คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ตัดขาดความบันเทิง บลาๆๆ .... ยังคิดอยู่ว่า... คนที่เสพละครเป็นนิจ เสพเนตประหนึ่งลมหายใจอย่างเรา จะเรียนได้หรอวะ  ........
แต่ตอนนี้ก็พบว่า มันถูกแค่ส่วนนึงเท่านั้นเอง
ว่าแล้วก็มารู้จักกับนักเรียนแพทย์กันให้มากขึ้นสักหน่อย (ขอพูดถึงเฉพาะปี 1-3 หรือชั้น pre-clinic ละกันนะ)
1. นักเรียนแพทย์ปี 1 เป็นปีที่มีความใกล้เคียงกับเด็กมหา'ลัยมากที่สุด : ที่พูดอย่างนี้เพราะตั้งแต่ปี 2 เป็นต้นไป นักเรียนแพทย์จะไม่ค่อยใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหา'ลัยทั่วๆไป ... เรียกว่าเป็นปีที่ต้องเก็บเกี่ยวชีวิตนิสิต นักศึกษา(ปกติ)ให้ได้มากที่สุด ชั้นปีนี้จะได้เรียนวิชานอกคณะ ได้เจอเพื่อนๆต่างคณะ (คือ ถ้าใครตั้งใจจะคิดคบสนมสนิทกับเพื่อนต่างเพศนอกคณะ ก็รีบๆคว้าไว้ตั้งแต่ปีนี้ 55)
ถ้าอยู่จุฬาฯจะรู้ว่า คณะแพทย์ฯอยู่นอกรั้วจุฬาฯใหญ่ (นั่นคือ ถูกตัดขาดจากคณะอื่น) ... ซึ่งปี 1 เป็นปีเดียวที่ได้เดินเพ่นพาน และใช้ชีวิตนอกคณะมากกว่าในคณะตัวเอง จนบางทีก็เกือบลืมไปแล้วว่า "กุเรียนหมอ"

2. อาจารย์ใหญ่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด : เมื่อก่อน ถ้าถามถึงการเรียนหมอ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ "อาจารย์ใหญ่" ซึ่งพอได้เข้ามาเรียนจริง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารายวิชากายวิภาคฯ หรือ Anatomy เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนหมอ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีอะไรอีกมากมายก่ายหน้าผากให้ต้องศึกษา.... และแน่นอนเมื่อพูดถึงอาจารย์ใหญ่ คนส่วนใหญ่มักจะกลัวกัน... ในครั้งแรกที่ได้เรียน สารภาพด้วยเกียรติของยุวกาชาดว่า "กลัว"..... แต่พอเวลาผ่านไป ความกลัวเปลี่ยนเป็นความเคารพ ..
จนตอนนี้ เราก็ตอบไม่ได้ว่าถ้าไม่มีอาจารย์ใหญ่ ในแต่ละปี จะสามารถผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพออกมาได้สักคนรึปล่าว...... ถ้าจะพูดกันจริงๆ อาจารย์ใหญ่ ไม่ได้มีพระคุณเฉพาะกับพวกเรานักเรียนแพทย์ แต่มีพระคุณต่อทุกคนที่นั่งๆนอนๆอยู่บนโลกร้อนๆใบนี้.......... หรือจะปฏิเสธว่าชีวิตนี้ไม่เคยไปหาหมอ ??? .............

3. ความหลากหลายในคณะ : คณะแพทย์ฯก็เป็นสังคมๆหนึ่ง ย่อมมีความหลากหลายทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ เคมี สังคม ภาษาไทย ... (ไม่ใช่แระ  ใครที่คิดว่านักเรียนแพทย์มีแต่พวกเนิร์ดๆ หน้าตาประหนึ่งว่ากุเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ความเป็นหมอมันฝังตัวอยู่ในพันธุกรรม และแสดงphenotypeออกมาให้เห็นผ่านใบหน้า ..คุณคิดผิด! .... ถ้าไม่เชื่อ ว่างๆลองเข้ามาเดินเล่นในคณะแพทย์ฯ จะพบตั้งแต่ นางฟ้า ยัน.......................


...... เพื่อนนางฟ้า 555 (ก็เป็นเพื่อนมันจริงๆหนิ )
นั่นแค่ประเด็นของหน้าตา อีกเรื่องที่คนทั่วไปมองนักเรียนแพทย์คือ เรื่องความฉลาด .... จริงๆแล้ว ใช่ว่านักเรียนแพทย์ทุกคนจะเก่งเว่อกว่าชาวบ้าน (อย่างเราอาจจะต่ำกว่ามาตรฐานมนุษย์ทั่วไปด้วยซ้ำ เหอะๆ )
อย่างในคณะแพทย์ฯ จุฬาฯก็มีการแบ่งชนชั้นวรรณะในเรื่องนี้ไว้ 3 ชนชั้น คือ เทพ, ชนชั้นกลาง, และแกะ........
เทพ... กลุ่มหัวกะทิของคณะ ... กลุ่มนี้ต้องยอมรับมัน เอ้ย ท่าน .... ว่าแล้วก็ บูชาาาา
ชนชั้นกลาง.. สามัญชนทั้วไปในคณะ ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติทุกประการ
แกะ.. (ชนชั้นเราเอง) .. เป็นชนชั้นที่ต้องดิ้นรนมากในช่วงใกล้สอบ เพราะถ้าไม่ใกล้สอบแกะจะไม่มีจิตใจฝักใฝ่ทางบุ๊นสักเท่าไหร่ (ที่มาของแกะคือการนอนนับแกะในเวลาเรียน) อย่างไรก็ตามแกะก็ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของคณะเลยทีเดียว (พูดง่ายๆคือเป็นพื้นให้เหยียบตลอด )

4. แกะในใบจาม : เป็นคำไวพจน์ (ประโยค??? ...... เออ ช่างมันเหอะ) ของ "กบในกะลา" .... ด้วยการเรียนที่หนัก(โคตร) ทำให้นักเรียนแพทย์ค่อยๆถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทีละน้อยๆ ตั้งแต่ปี2ขึ้นไป นักเรียนแพทย์จะต้องเรียนแต่วิชาคณะ ตั้งแต่เช้ายันเย็น หรือ โคตรเช้ายันตะวันตกดินในบางวัน แม้แกะบางตัวจะสังคมขนาดไหน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนแพทย์แล้ว ยังไง๊ ยังไง ก็ปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้ แต่ละวันก็จะเจอแต่เพื่อน พี่ น้อง ในคณะ เรียกว่าเวลาที่จะไปพบปะกับเพื่อนต่างคณะน้อยลงทุกทีตามชั้นปีที่สูงขึ้น .... ฉะนั้น นักเรียนแพทย์อาจโดนเพื่อนต่างคณะเลิกคบได้ทุกเมื่อ...
เพื่อนต่างคณะ : เอ้ย วันจันทร์เลี้ยงน้องจังหวัดนะ 4โมงเย็น มาให้ได้นะแก
นักเรียนแพทย์ : เออน่า เด๋วเราไปก่อนเวลาสักครึ่งช.ม.เลยเป็นไง ฮ่าๆๆ
วันจันทร์....
16:00 น.
เพื่อนต่างคณะ : ไหนว่าจะมาก่อนเวลาไง 
นักเรียนแพทย์ : เดี๋ยวแปบนึงนะ เรายังผ่าอาจารย์ใหญ่ไม่เสร็จเลยอะ 
16:30 น.
เพื่อนต่างคณะ : เสร็จยังวะ อย่าบอกนะว่าไม่มา ปีที่แล้วก็ชิ่งทีนึงแล้ว 
นักเรียนแพทย์ : เออ บอกว่าไปก็ไปดิ แค่นี้ก่อนนะเว้ย คุยลำบาก ต้องถอดถุงมือ
17:00 น. 
เพื่อนต่างคณะ : เฮ้ย เค้ารอเมิงคนเดียวเนี่ย จะมามั้ย จะได้ให้น้องเค้ากินๆกันก่อน 
นักเรียนแพทย์ : เออๆ เมิงให้เค้ากินกันเลย กุน่าจะสาย (ได้ข่าวว่าสายอยู่แล้ว) เสร็จแล้วเดี๋ยวกุโทรไป
.....
19:00 น.
เพื่อนต่างคณะ : โทษทีที่กุโทรมาก่อน คือเค้าเสร็จกันแล้ว เมิงจะมาเจอพวกกุป่ะ 
นักเรียนแพทย์ : เออเมิง โทษทีว่ะ อาจารย์เพิ่งบอกว่าพรุ่งนี้quiz กุคงต้องอ่านหนังสือ 
เพื่อนต่างคณะ : ไอ้..... 

อย่างไรก็ตาม วันว่างๆหลังสอบ หรือช่วงที่ไฟไม่ลนก้นก็สามารถไป hang out กับเพื่อนๆได้บ้างนะ 555

5. มักไม่ค่อยเสียดุลให้เด็กต่างคณะ : จากผลพวงของข้อที่แล้ว นักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่ในคณะตัวเอง ไม่ค่อยมีเวลาออกไปพบปะผู้คนสักเท่าไหร่ จากเดิมที่เคยเสียดุลให้ต่างคณะก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะสาวๆที่มีแฟนอยู่คณะอื่น พอเริ่มไม่มีเวลาให้ หนุ่มๆก็จะเริ่มหายหน้าไปอย่างช้าๆ ถ้าไม่รักหนักแน่นเหมือนเพลงพี่เบิร์ดก็เป็นอันต้องลงท้ายด้วย "เราเป็นเพื่อนกันเถอะ" ทุกครั้งไป และสุดท้าย พอเริ่มเรียนไปเรื่อยๆ เจอคนหน้าเดิมๆซ้ำๆ ทุกวันๆ ก็เกิดอาการ "เพื่อน กุรักมึงว่ะ" (อันนี้ใช้ได้กับทุกเพศ ) เพราะนอกจากจะไม่มีใครให้มองแล้ว คนในคณะยังเข้าใจกันดีอีกด้วย .... แต่ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น .. ปัจจุบัน ยังมีคู่รักหนักแน่นหลายคู่ที่แม้จะเป็นเด็กต่างคณะแต่ก็ยังอยู่ทนอยู่นานมาจนถึงทุกวันนี้
และจากสถิติ.. พบว่านักเรียนแพทย์ชาย ยังคงเป็นที่สนใจของสาวๆ(และหนุ่มๆ? )คณะอื่นอยู่พอสมควร(ช่างต่างกับนักเรียนแพทย์หญิง ฉะนั้น ... เหล่า XY (หรือ XXY) ไม่ต้องกลัวจะขึ้นคานนะจ๊ะ 55
พิมมาถึงตรงนี้ชักจะเริ่มยาว ... เอาเป็นว่าค่อยมาต่อข้อ 6-10 วันหลังดีกว่า 55
ป.ล. พรุ่งนี้สอบ lab .... แล้วเรามาทำอะไรตรงนี้ 

"วิศวกรรมเครื่องกล" นอกจากกินเหล้าแล้ว มันทำอะไรกันมั่ง

ตอนนี้กำลังเรียนคณะอะไร สาขาอะไรอยู่?
ตอนนี้จบแล้วครับ ผมจบวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมเครื่องกลเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๘ และ วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา Advacned Manufacturing Technology เมื่อปีที่แล้วครับ
แต่รอบนี้จะพูดถึงวิศวกรรมเครื่องกลอันเป็นพื้นฐานหลักของผมก่อนครับ
----------------------------
สาขาที่เรียน เรียนยังไง เรียนอะไรบ้าง?
ผมไม่รู้หรอครับว่าที่โรงเรียนพิเศษเขาสอนให้คุณท่อง สูตรอะไรมาบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ลืมมันไปได้เลยถ้าคิดว่าจะเรียนวิศวกรรมศาสตร์ครับ เพราะถ้าแค่จำได้แต่ไม่เข้าใจก็เตรียมตัวเข้าโลงครับ
การเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ในแต่ละสาขาอาจจะแตกต่างกัน ออกไป แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือการเรียนเพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปของแนวคิดทางวิศวกรรมแต่ละอย่าง เพื่อที่จะได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมครับ
เคยมีคนมาถามผมครับว่า ทำยังไงให้ความจำดี เรียนวิศวกรรมศาสตร์ได้ ผมเผาให้ฟังตรงนี้เลยนะครับว่าความจริงแล้ว พวกวิศวกรอย่างผมไม่ค่อยคิดจะจำอะไรกันหรอกครับ เพราะเรามีข้อมูลที่ต้องหยิบมาอ้างอิงใช้เป็นเ่ล่ม ๆ ดังนั้น วิศวกรคือนักเปิดตารางหาข้อมูลตัวยงครับ
นอกจากนี้ ในการทำงานของเรา มีตัวแปรไม่ทราบค่ามากมาย ดังนั้นในหลาย ๆ ครั้งเราจะทำงานกันด้วยวิธี "ลองผิดลองถูก" และชอบการสมมติเรื่องราวให้มันง่ายต่อการคิดมากขึ้นครับ ดังนั้นเราจึงเรียกได้ว่า "นักมั่วและเดาอย่างมีหลักการ" ครับ
แต่อ้อ ในงานหลาย ๆ จุดของเราที่มีความเสี่ยงอันจะก่อให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตเนี่่ย เราก็ไม่กล้ามั่วกันหรอกนะ พลาดมาทีก็ได้ย้ายไปนอนซังเตแหละคุณ
วิชาที่เรียนอาจจะพูดได้ว่า
ปี ๑ เรียนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ + แคลคูลัส
ปี ๒ เรียนวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรม + สมการพีชคณิต / เมทริกซ์ / สมการเชิงอนุพันธ์
ปี ๓ เรียนวิชาเฉพาะทางของสายตัวเอง + ระเบียบวิธีเชิงตัวเลข (สถิติอาจจะไปโผล่ที่ปีไหนก็ได้ แต่อยู่แถว ๆ ปี ๒-๓ นี่แหละ)
ปี ๔ ทำโปรเจค + เรียนวิชาเฉพาะทางชั้นสูงของสายตัวเอง
ปี ๕ - ๘ แปลว่าซิ่วหนิ
ปี ๙ คุณใช้เวลาเรียนเกินโควตา กลับไปขายเต้าหู้เถอะ
----------------------
สาขาที่เรียนเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง?
สมัยผมอยู่ ม ๖ ผมตัดสินใจแล้วครับว่าจะเรียนสาขานี้ แต่พอน้องโรงเรียนมาถามว่า "พี่  แล้วมันทำอะไรมั่งหล่ะพี่" ผมก็ตอบไปอย่างมั่นใจ "ออกแบบเครื่องจักรกลสิวะ"
พอขึ้นปี ๑ เจอน้องถามคำถามเดิมครับ แต่คำตอบนั้น ชักไม่มั่นใจ เพราะเริ่มรู้แล้วว่ามันกว้างกว่านั้น เลยตอบไปว่า "ไม่รู้หว่ะ"
สุดท้ายจบปี ๒ ถึงได้เข้าใจและตอบคำถามน้องได้ว่า "ที่ไหนมีพลังงานและการเคลื่อนไหว ที่นั่นมีพวกกู"
 ใช่แล้วครับ ความจริงแล้ว งานของวิศวกรเครื่องกลนั้นครอบจักรวาลเลยครับ ลงไปได้ตั้งแต่ก้นบึ้งของมหาสมุมร (เรือดำน้ำ) ไปจนสุดขอบจักรวาล (ยานอวกาศ) และรอบ ๆ ตัวพวกคุณก็มีงานของพวกผมนะ
 บ้านเราเนี่ย ร้อนจะตายชัก ยังไงก็ต้องมีพัดลม หรือมีแอร์กันมั่งแหละน่า
  พัดลม พวกผมเรียนกันในฐานะ Fluid Machinary หรือจักรกลของไหล (แต่ไปหนักปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์มากกว่า) 
 แอร์ เป็นวิชาเลือกครับ แต่ผมเรียนในวิชา Refrigeration and Air Conditioning (อันนี้บังคับ) กับ Air Conditioning ครับ
  ระบบท่อน้ำในบ้าน ก็สามารถอธิบายได้ในวิชา กลศาสตร์ของไหล และบางคนอาจจะเรียนวิชา Piping มาด้วยสิ
  เอางี้ดีกว่า อะไรที่ไม่มีพลังงานและการเคลื่อนไหว ไม่ใช่สิ่งที่วิศวกรเครื่องกลจะลงไปเสือกได้ครับ
กว้างดีไหมหล่ะ (ให้รู้ซ่ะมั่ง ไม่ใช่ขี้เหล้าได้อย่างเดียว)
-----------------------
บอกเคล็ดลับการเรียนในสาขานี้อย่างคนมีกึ๋นมา 1 ข้อ
อย่างที่บอกในข้อแรก ๆ แหละครับว่า ต้องเรียนด้วยความเข้าใจมากกว่าแค่จำ
ที่สำคัญต้องรักมันด้วยครับ ถ้าคุณรักในสิ่งที่เรียน ยังไงก็สนุกแหละ เชื่อสิ
ที่สำคัญ ความสนุกของวิศวกรรมศาสตร์คือการได้ลงปฎิบัติครับ ซึ่งเราจะได้เห็นว่า ไอ้ที่เราปวดหัวเรียน ๆ กันมาเนี่ย พอเอาไปใช้จริงแล้วมันเป้นยังไงกันมั่ง 
นอกจากนี้เราอาจจะได้มีโอกาสไปพบเจอกับอะไรที่คนอื่นเขาไม่เคยเจอไม่เคยเห็นครับ
ผมเคยไปตะลุยโรงซ่อมเครื่องบินของการบินไทยมาแล้วหล่ะ ไปดูเครื่องบินที่เขาแกะออกมาเป็นชิ้น ๆ เหลือแต่โครง แค่เคยนั่งเก้าอี้ชั้น First Class เรอะ เฉย ๆ เพราะผมเอาตูดไปหย่อนลงบนเก้าอี้นักบินมาแล้ว "นุ๊ม นุ่ม"
สมัยฝึกงานที่เขื่อนศรีนครินทร์ ผมก็ลุยมาทั่วแหละ ลงไปตรวจอุปกรณ์ใต้แนวเขื่อน ปีนท่อส่งน้ำสูง ๒๕๐ เมตร เพื่อขันน็อต ที่ตัวใหญ่กว่ากำปั้นผมเสียอีก มองลงมา ตึง ๕ ชั้นมันเล็กนิดเดียวเอง "โอ๊ะ ลมเย็นจัง เหอ ๆ ๆ"
-----------------------
อยากบอกน้องๆ ที่จะเลือกคณะนี้ว่า??
ใช่ครับ วิศวกรเป็นสาขาที่ใช้การคำนวนสูงมาก แต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องคำนวนได้เก่ง ได้แม่นหมดหรอกครับ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เราใช้เครื่องคิดเลข/คอมพิวเตอร์ช่วยการคำนวนหมดแหละครับ
คณิตศาสตร์ที่เรียน ๆ มา ใช่ครับ ยากมหากาฬ โหดหินทมิฬชาติ แต่สุดท้ายแล้ว มีตารางช่วยหมดแหละครับ
สิ่งที่สำคัญไปกว่าการคำนวนสำหรับวิศวกรคือการตีความหมายจากการคำนวนครับ
สมมติว่าค่าที่ได้มาคือ 50
50 นิวตัน กับ 50 กิโลกรัม มันคนละเรื่องกันเลยนะครับถึงแม้ว่าหน่วยของแรงกับมวลนี้จะมีความสัมพันธ์ กันก็เถอะ แต่มันยังเป็นคนละตัวอยู่ดี หรือถ้าเราไปใส่ค่าว่า 50 มิลลิเมตร แทนที่ค่า 50 เมตร ความแตกต่างของสองค่านี้มันคือพันเท่านะครับ และถ้านี่เ็ป็นการออกแบบสิ่งก่อสร้างหล่ะก็ มันเจ๊งอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
นอกจากนี้ การคิดคำนวนอย่างมีที่มาที่ไปและมีลำดับขั้นตอนนั้น สำคัญที่สุดเลยครับ เพราะนี่คือชีวิตครับ ซึ่งการจะทำได้นั้น ต้องมีความเข้าใจในทฤษฎีที่นำมาใช้อย่างยวดยิ่งเลยครับ
นอกจากนี้ วิศวกรต้องเป็นนักประยุกต์ที่ชาญฉลาดด้วยครับ รู้จักคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่รู้อย่างไร หรือรู้ว่าจะใช้ความรู้ที่มีแก้ปัญหาอย่างไรครับ
โดยเนื้องานที่แท้จริงแล้ว วิศวกรเป้นนักแก้ปัญหาครับผม
------------------------------
โอกาสสำหรับวิศวกร (เพิ่มเติม)
 นี่อาจจะเรียกว่าอภิสิทธิ์พิเศษสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมอย่าง หนึ่งเลยก็ว่าได้ครับคือมีโอกาสถูกส่งไปดูงานสูงกว่าชาวบ้านครับ (แต่ไม่ทุกคนหรอกนะ แล้วแต่บริษัทด้วย แต่ทั่วไปแล้ว โอกาศสูงกว่าคนอื่นเขา)
นอกจากนี้ วิชาชีพวิศวกรรมนั้น จัดได้ว่าเป็นเสาค้ำจุนระบบเศรษฐกิจวิชาชีพหนึ่งครับ ทุกที่ที่มีการผลิต ล้วนต้องใช้งานวิศวกร และนั่นส่งผลให้่วิศวกร เป็นที่ต้องการไปทั่วโลกครับ
ถ้าคุณเป็นวิศวกรที่มีทักษะทางภาษาดี มีหลาย ๆ ประเทศที่อ้าแขนรอรับคุณครับ เช่นออสเตรเลียครับ
"Join us engineers, let's go to creat the world"



ภาพนี้ถ่ายมาจากบนหอคอยระบายความร้อนของโรงไฟฟ้ากังหันกาซ ริมแม่น้ำทอแรนซ์ เมืองแอดิเลด รัฐเซาท์ ออสเตรเลียครับ สูงจากพื้นดินประมาณ ๑๐๐ เมตร ซึ่ง ถ้าไม่ใช่วิศวกร ยากที่จะได้พบเจอภาพแบบนี้นะเอออ


edit @ 15 Sep 2009 14:41:06 by Brandy Frisky
edit @ 22 Aug 2011 00:49:41 by Brandy Frisky