วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มาไกล! เด็กแห่งยุค ‘ลอกการบ้าน’ ผ่านเฟซบุ๊ก!


     พัฒนาการลอกการบ้านของเด็กไทยมาไกลเกิน ล่าสุด ลอกการบ้านผ่านเฟซบุ๊ก ไม่แปลกที่เด็กนักเรียนจะมีวิธีลอกการบ้านที่พัฒนาตามสังคม เพราะปัจจุบันสื่อโซเชียลฯ เข้าครอบงำ อุปกรณ์ทุกชนิดเข้าถึงการสื่อสาร เหตุนี้เองจึงสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวการศึกษาไทย ขณะที่เด็กบางส่วนอ้างเป็นเพราะผู้ใหญ่ตัดสินเด็กที่เกรด เด็กถึงต้องดิ้นรน!
       
       น่ากลัว! เด็กขาดความยับยั้งชั่งใจ
        
       เมื่อสื่อโซเชียลมีเดียเข้าครอบงำ ทุกอย่างบนโลกก็ต้องเปลี่ยนไปให้เข้ากับยุคสมัย ดั่งเช่นประเด็นข่าวที่เด็กไทยสมัยนี้พัฒนาการลอกการบ้าน ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยเรื่องราวดังกล่าวนี้จุดประเด็นขึ้นมาจากการแชร์ภาพของเฟซบุ๊ก Admission Reality ตามติดชีวิตเด็กแอดมิชชัน โดยโพสต์ภาพถ่ายการบ้านเด็กนักเรียนชั้นมัธยม จำนวนมาก ที่โพสต์ภาพเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ลอกตามตัวอย่าง พร้อมระบุข้อความว่า
        
       “การลอกการบ้านในสมัยนี้ นั่นคือการถ่ายรูปส่งและแชร์กัน ในมุมนี้น้องๆ อาจได้งานไปส่งอาจารย์จริง แต่ลองถามตัวน้องเองว่าได้ความรู้จากมันไหม ถ้าการลอกและได้ทบทวนแบบนี้คือว่าเป็นการลอกบทเรียน แต่ถ้าเป็นลอกและส่งเพื่อคะแนนเท่านั้น แบบนี้ได้แค่คะแนน แต่จะไม่ได้อะไรเลย รวมถึงตอนสอบก็จะทำไม่ได้เช่นกัน อยากให้เด็ก Admission ทุกคน ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ผลดีจะตกอยู่ที่ตัวน้องๆ เอง ได้ความรู้ทั้งการสอบในโรงเรียนและข้างนอก เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ”
        
       ทั้งนี้ แอดมินของเฟซบุ๊กดังกล่าวยังยืนยันอีกว่า ได้ส่งข้อมูลไปยังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเป็นกรณีศึกษาว่าปัจจุบันนี้เด็กนักเรียนมีวิธีลอกการบ้านที่พัฒนาตามสังคม เพราะอุปกรณ์ทุกชนิดเข้าถึงด้านการสื่อสารได้หมด เมื่อประเด็นดังกล่าวแพร่สะพัดออกไปมีการแสดงความเห็นจากเด็กนักเรียนจำนวนมากแตกต่างกัน ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย 
        
       บ้างก็บอกว่า การทำการบ้านเป็นเหมือนตัวกรอง หากใครทำเอง และตั้งใจทำ คนนั้นก็จะได้ หรือผู้ใหญ่ส่วนมากมองแค่เกรด 4.00 คือเด็กดี และเกรดต่ำๆ คือเด็กด้อยทำให้เด็กมองว่าลอกการบ้านเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะตัดสินเด็กที่เกรด จะสอบเข้าอะไรก็ต้องใช้เกรด เพราะแบบนี้เด็กถึงต้องดิ้นรน
        
       จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น “นคร สันธิโยธิน”อาจารย์ประจำโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ให้ความเห็นผ่านทางทีมข่าวASTV ผู้จัดการLive ว่าทุกวันนี้สถานภาพของเด็กไทยก็แย่อยู่แล้ว หากจะใช้สื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นตัวช่วย ต้องใช้อย่างมีจริยธรรมและต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
        
       “ความทันสมัยมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมันก็ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมกำกับด้วย ตรงนี้สำคัญมาก นับวันเด็กก็จะไม่ค่อยได้คิด พอไม่คิดแล้วปัญหาต่างๆ ก็ตามมา ทุกวันนี้สถานภาพของเด็กไทยก็แย่อยู่แล้ว มันก็คงจะแย่หนักไปอีก ตอนนี้ก็เริ่มกลายพันธุ์เป็นประเภทสมาธิสั้น หรือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา น่ากลัวเหมือนกันนะ”
  “ลอก” ชีวิตก็ล้มเหลว
        
       ในฐานะที่เป็นอาจารย์คนหนึ่งกล่าวว่าประเด็นนี้สะท้อนความล้มเหลวการศึกษาไทย เพราะท้ายที่สุดหากตกเป็นทาสและต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา เด็กเหล่านี้จะมีทักษะดูแลชีวิตตัวเองได้อย่างไร
        
       “ท้ายสุดพอเราตกเป็นทาส อะไรต่างๆ ก็จะขึ้นอยู่กับตรงนั้นทั้งหมด คนที่ติดโซเชียลมีเดียมากๆ ก็จะเป็นโรคขาดความยับยั้งชั่งใจ คุณอาจจะเจริญก้าวหน้าในทางโซเชียลฯ ก็จริง ถามว่าถ้าในที่ที่มันมีโซเชียลฯ เกิดขึ้น ไม่มีสัญญาณ ถ้าเกิดมันมีเหตุการณ์อะไรคุณจะทำอะไรได้บ้างไหม เพราะถ้าเราต้องพึ่งพาโซเชียลฯ อยู่ตลอดเวลา เขาจะมีทักษะที่จะดูแลชีวิตตัวเองได้ยังไง อันนี้น่าคิดนะคะ จะมาพึ่งพาคนอื่นอยู่ตลอดเวลามันไม่ใช่ เราต้องพึ่งตัวเอง แต่เด็กสมัยนี้อาจจะไม่คิดแบบนี้ก็ได้ เพราะทุกอย่างกำลังป้อนเข้ามา มันทันสมัยหมด ผิดกับสมัยก่อนที่เป็นยุคต้องพึ่งพาต้องอะไรต่างๆ มันอาจจะคิดคนละแบบก็ได้”
        
       ดังนั้น ให้ลองเปลี่ยนจากสั่งการบ้านให้นักเรียนกลับไปทำ มาเป็นทำงานหรือพรีเซนต์งานในห้องเรียนแทน เพื่อแก้ปัญหาเด็กนักเรียนลอกการบ้าน อาจารย์นครแนะวิธีแก้ปัญหา
        
       “มันมีวิธีการอยู่หลายรูปแบบนะคะ ครูสั่งงาน เด็กก็ลอกมาส่ง แต่ถ้าอย่างครูสั่งงานในห้องแล้วแจกกระดาษเดี๋ยวนั้นก็เป็นการให้ทำตรงนั้นเลย ว่าประเด็นเรื่องนี้มีความคิดเห็นยังไง คิดต่างก็ไม่เป็นไร เห็นเหมือนก็ไม่เป็นไร แต่ต้องมีเหตุผลประกอบ เพราะทุกคนมันต้องมีจุดยืน ไม่มีผิด ไม่มีถูก ส่วนใหญ่ของอาจารย์ก็จะใช้วิธีนี้ค่ะ
        
       ส่วนใหญ่การสอนของอาจารย์จะเป็นการพรีเซ็นต์เลยค่ะ เพราะว่างานที่ทำส่วนใหญ่จะไม่ให้ทำเป็นการบ้าน เพราะการบ้านเด็กก็จะไปลอกกันมา แต่ว่าถ้าเกิดทำเดี๋ยวนั้น คุยเดี๋ยวนั้น เปิดโอกาสให้คุยแล้วก็แลกเปลี่ยนกัน จะเห็นแนวคิด แล้วจะเห็นวิธีการ แล้วจะเห็นมุมมอง แล้วก็จะเห็นปัญหา ถ้าปัญหานี้เกิดขึ้นคุณจะแก้ยังไง เพราะฉะนั้น กระบวนการเหล่านี้เราต้องฝึกเด็ก”
        
       อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่ไม่ชอบทำการบ้านจะส่งผลเสียในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะเด็กเหล่านี้จะไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ เพราะติดนิสัยตามคนอื่น เมื่อเจอปัญหาก็จะรอให้คนอื่นมาช่วยแก้ไข เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราต้องตัดสินใจเองอย่าเอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับใครอย่างเด็ดขาด
        
       “ส่งผลเสียแน่นอน บอกได้เลยว่าการที่เราไปคิดตามคนอื่น เราก็ไม่ได้ใช้หัวสมองหรือความคิดของเรา เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จะรอให้คนอื่นมาช่วยแก้มันไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญ ชีวิตของเรา เราต้องออกแบบเอง ชีวิตเราเราต้องตัดสินใจด้วยตัวของเราเอง เราอย่าไปพึ่งพิงแล้วก็อย่าเอาชีวิตเราไปฝากไว้กับใคร เพราะเราต้องรักตัวเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด อะไรที่ดี หรืออะไรที่มันไม่ถูกต้องเราก็ไม่ควรทำ หลักของอาจารย์จะบอกเลยว่า ถูก ดี ควร มันต่างกันอย่างไร ผิด พลาด ชั่ว มันต่างกันอย่างไร เด็กก็จะรู้ว่าบรรทัดฐานของตัวเองเป็นอย่างไร ควรดำเนินชีวิตต่อไปยังไง”
       
       ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive

ไม่มีความคิดเห็น: