วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หัวอกแม่ เมื่อ ลูกพลาดหวังจากการสอบตรง

UniGang ขอนำประสบการณ์ จาก คุณแม่และคุณลูก ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ที่จะต้องหาที่เรียน สอบให้ติดให้ได้ตามคณะที่ฝัน แต่หนทางนั้นไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ   ...............

เริ่มตั้งแต่เมื่อลูกอยู่ ม.5 ก็เริ่มตามข่าวการสอบ แกะกับแพะ (GAT-PAT) เพราะเราตามข่าวการสอบมาตลอด ลูกจึงได้สอบ GAT-PAT รวมทั้งหมด 5 ครั้ง ก่อนจะมีการแอดมิชชั่น ทำให้สามารถเลือกคะแนนที่มากที่สุดได้ และก็โชคดีที่โรงเรียนของลูกซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนย่านฝั่งธนฯ เขาจ้างสถาบันติวมาสอนเรื่องเกี่ยวกับการสอบ GAT-PAT โดยเฉพาะ และนักเรียนจะเสียเงินค่าเรียนเพิ่มจากปกติ 900 บาท ก็นับว่าคุ้มตรงที่ลูกเราไม่ต้องไปหาที่ติวข้างนอก และค่าเรียนก็ถูกกว่า เพราะนักเรียน ม.6 ทุกคนต้องเรียนทำให้มีการถัวเฉลี่ยค่าสอน

ลุ้นมาตลอด จนกระทั่งเมื่อลูกจบ ม.6 ตอนนี้มีสอบตรงก่อน เราก็ต้องตามข่าวสอบตรงของสถาบันต่างๆ เช่น จุฬาฯ ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหิดล ม.เกษตรฯ ม.ศิลปากร ช่วยลูกเตรียมข้อมูลในการสมัคร พาลูกไปสอบที่เมืองทอง ที่ธรรมศาสตร์รังสิต แต่ในที่สุดก็ผิดหวัง ลูกสอบตรงไม่ติด....แม่เริ่มเครียด ผลสอบสองมหาลัยแรกออกลูกสอบไม่ติด ลูกยังเข้มแข็ง พอมหาวิทยาลัยที่สามไม่ติดอีก ลูกนอนร้องไห้เลย....เรากลับจากทำงานลูกมานอนรอที่ห้อง 

คำถามแรกของลูกคือ ....คุณแม่เหนื่อยไหม...พลอยสอบธรรมศาสตร์ไม่ติดอีกแล้ว...
สงสารลูกใจจะขาดได้แต่กอดลูกไว้กับอกแล้วปลอบใจว่า....สอบไม่ติดก็ไม่เป็นไรลูก ร้องไห้เหรอ...ไม่ต้องร้องหรอก ยังมีแอดมิชชั่นอีก ถ้าแอดฯ ไม่ติดก็เรียนรามฯ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเครียดเลย ลูกทำดีที่สุดแล้ว


เรารู้ที่ลูกเครียดเพราะเค้าคิดว่าเราคาดหวังกับเค้ามาก (คือ ลูกเรียนสายวิทย์ คะแนนค่อนข้างจะใช้ได้คือ 3.6 ขึ้นไปทุกเทอม) เค้าคิดว่าน่าจะทำได้ แต่เมื่อไม่ได้คงจะคับใจเต็มที่ ทุกๆ คนที่บ้าน (คุณตา-คุณยาย) ก็ช่วยกันให้กำลังใจ ไม่มีใครตำหนิเลย ทุกคนจะพูดเหมือนกันคือ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเรียนมหาลัยเปิดก็ได้ แม่เอ็งก็จบรามฯ เค้ายังทำงานได้เลย

เลยต้องกลับมาดูตัวเองว่า "เราเป็นแม่ที่คาดหวังลูกมากไปหรือเปล่า" โชคดีที่บ้านเป็นครอบครัวขยาย ครอบครัวใหญ่ที่ค่อนข้างจะร่วมสมัยไม่ใช่มีเพียงพ่อแม่ลูก ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นไม่อ้างว้าง

ถ้าจะถามความรู้สึกของเราว่ารู้สึกอย่างไรที่ลูกสอบตรงไม่ติด คงจะบอกว่าไม่ได้ผิดหวังอะไรมากนัก เพราะการสอบตรงเป็นการสอบแข่งขันกับคนเก่งๆ ทั่วประเทศ (เพราะถ้าเด็กที่มีผลการเรียนต่ำกว่า 2.5 บางที่ก็ไม่สามารถจะยื่นสอบตรงได้อยู่แล้ว) และที่สำคัญเรารู้ว่า "ลูกทำดีที่สุดแล้ว" และที่สำคัญที่สุดเราไม่เคยคาดหวังว่าลูกต้องสอบตรงให้ได้ เราแค่หวังให้ลูกได้มีโอกาสลองสอบเพื่อหาประสบการณ์ในการสอบ ถ้าได้ก็ดีไม่ต้องเหนื่อยตอนต้องยื่นแอดมิชชั่นกับคนอื่น ถ้าไม่ได้ก็ยังมีแอดมิชชั่นกลางอยู่ ถ้าแอดมิชชั่นกลางไม่ติด ก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดไปก่อน ปีหน้าแอดฯ ใหม่ นี่คือความคิดของเราจริงๆ

Credit นี่คือ "ความรู้สึก" ของแม่คนหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น: