วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 ความจริง ชีวิตนักเรียนแพทย์ (Pre-clinic)


หลังจากใช้ชีวิตเป็นนักเรียนแพทย์ มาจนเข้าสู่ปีที่ 3 ยอมรับว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกัน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอน มาพำนักพังพิง ณ เมืองหลวง เพียงลำพัง (ฟังดูรันทดยังกะเด็กขมเข้าบ้านพุทธชาด )
บวกกับการที่ต้องเข้ามาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆทั้งหมด ต้องเรียนรู้สังคมที่ต่างออกไป ทำให้ต้องปรับตัวเยอะมาก
และวันนี้ เราก็ค่อนข้างเสถียรพอสมควร (หรอ?) พอลองนึกย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ........ ไม่ควรพูดอย่างนี้สินะ  ........... เอาใหม่ ... พอลองนึกย้อนกลับไปตอนที่เรายังไม่เข้ามายืนหายใจอยู่ในคณะนี้ พบว่าตอนนั้น เรายังไม่รู้ความจริงหลายๆอย่าง 
เมื่อก่อน เรามองว่านักเรียนแพทย์ต้อง บ้าเรียน คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ตัดขาดความบันเทิง บลาๆๆ .... ยังคิดอยู่ว่า... คนที่เสพละครเป็นนิจ เสพเนตประหนึ่งลมหายใจอย่างเรา จะเรียนได้หรอวะ  ........
แต่ตอนนี้ก็พบว่า มันถูกแค่ส่วนนึงเท่านั้นเอง
ว่าแล้วก็มารู้จักกับนักเรียนแพทย์กันให้มากขึ้นสักหน่อย (ขอพูดถึงเฉพาะปี 1-3 หรือชั้น pre-clinic ละกันนะ)
1. นักเรียนแพทย์ปี 1 เป็นปีที่มีความใกล้เคียงกับเด็กมหา'ลัยมากที่สุด : ที่พูดอย่างนี้เพราะตั้งแต่ปี 2 เป็นต้นไป นักเรียนแพทย์จะไม่ค่อยใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหา'ลัยทั่วๆไป ... เรียกว่าเป็นปีที่ต้องเก็บเกี่ยวชีวิตนิสิต นักศึกษา(ปกติ)ให้ได้มากที่สุด ชั้นปีนี้จะได้เรียนวิชานอกคณะ ได้เจอเพื่อนๆต่างคณะ (คือ ถ้าใครตั้งใจจะคิดคบสนมสนิทกับเพื่อนต่างเพศนอกคณะ ก็รีบๆคว้าไว้ตั้งแต่ปีนี้ 55)
ถ้าอยู่จุฬาฯจะรู้ว่า คณะแพทย์ฯอยู่นอกรั้วจุฬาฯใหญ่ (นั่นคือ ถูกตัดขาดจากคณะอื่น) ... ซึ่งปี 1 เป็นปีเดียวที่ได้เดินเพ่นพาน และใช้ชีวิตนอกคณะมากกว่าในคณะตัวเอง จนบางทีก็เกือบลืมไปแล้วว่า "กุเรียนหมอ"

2. อาจารย์ใหญ่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด : เมื่อก่อน ถ้าถามถึงการเรียนหมอ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ "อาจารย์ใหญ่" ซึ่งพอได้เข้ามาเรียนจริง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารายวิชากายวิภาคฯ หรือ Anatomy เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนหมอ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีอะไรอีกมากมายก่ายหน้าผากให้ต้องศึกษา.... และแน่นอนเมื่อพูดถึงอาจารย์ใหญ่ คนส่วนใหญ่มักจะกลัวกัน... ในครั้งแรกที่ได้เรียน สารภาพด้วยเกียรติของยุวกาชาดว่า "กลัว"..... แต่พอเวลาผ่านไป ความกลัวเปลี่ยนเป็นความเคารพ ..
จนตอนนี้ เราก็ตอบไม่ได้ว่าถ้าไม่มีอาจารย์ใหญ่ ในแต่ละปี จะสามารถผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพออกมาได้สักคนรึปล่าว...... ถ้าจะพูดกันจริงๆ อาจารย์ใหญ่ ไม่ได้มีพระคุณเฉพาะกับพวกเรานักเรียนแพทย์ แต่มีพระคุณต่อทุกคนที่นั่งๆนอนๆอยู่บนโลกร้อนๆใบนี้.......... หรือจะปฏิเสธว่าชีวิตนี้ไม่เคยไปหาหมอ ??? .............

3. ความหลากหลายในคณะ : คณะแพทย์ฯก็เป็นสังคมๆหนึ่ง ย่อมมีความหลากหลายทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ เคมี สังคม ภาษาไทย ... (ไม่ใช่แระ  ใครที่คิดว่านักเรียนแพทย์มีแต่พวกเนิร์ดๆ หน้าตาประหนึ่งว่ากุเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ความเป็นหมอมันฝังตัวอยู่ในพันธุกรรม และแสดงphenotypeออกมาให้เห็นผ่านใบหน้า ..คุณคิดผิด! .... ถ้าไม่เชื่อ ว่างๆลองเข้ามาเดินเล่นในคณะแพทย์ฯ จะพบตั้งแต่ นางฟ้า ยัน.......................


...... เพื่อนนางฟ้า 555 (ก็เป็นเพื่อนมันจริงๆหนิ )
นั่นแค่ประเด็นของหน้าตา อีกเรื่องที่คนทั่วไปมองนักเรียนแพทย์คือ เรื่องความฉลาด .... จริงๆแล้ว ใช่ว่านักเรียนแพทย์ทุกคนจะเก่งเว่อกว่าชาวบ้าน (อย่างเราอาจจะต่ำกว่ามาตรฐานมนุษย์ทั่วไปด้วยซ้ำ เหอะๆ )
อย่างในคณะแพทย์ฯ จุฬาฯก็มีการแบ่งชนชั้นวรรณะในเรื่องนี้ไว้ 3 ชนชั้น คือ เทพ, ชนชั้นกลาง, และแกะ........
เทพ... กลุ่มหัวกะทิของคณะ ... กลุ่มนี้ต้องยอมรับมัน เอ้ย ท่าน .... ว่าแล้วก็ บูชาาาา
ชนชั้นกลาง.. สามัญชนทั้วไปในคณะ ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติทุกประการ
แกะ.. (ชนชั้นเราเอง) .. เป็นชนชั้นที่ต้องดิ้นรนมากในช่วงใกล้สอบ เพราะถ้าไม่ใกล้สอบแกะจะไม่มีจิตใจฝักใฝ่ทางบุ๊นสักเท่าไหร่ (ที่มาของแกะคือการนอนนับแกะในเวลาเรียน) อย่างไรก็ตามแกะก็ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของคณะเลยทีเดียว (พูดง่ายๆคือเป็นพื้นให้เหยียบตลอด )

4. แกะในใบจาม : เป็นคำไวพจน์ (ประโยค??? ...... เออ ช่างมันเหอะ) ของ "กบในกะลา" .... ด้วยการเรียนที่หนัก(โคตร) ทำให้นักเรียนแพทย์ค่อยๆถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทีละน้อยๆ ตั้งแต่ปี2ขึ้นไป นักเรียนแพทย์จะต้องเรียนแต่วิชาคณะ ตั้งแต่เช้ายันเย็น หรือ โคตรเช้ายันตะวันตกดินในบางวัน แม้แกะบางตัวจะสังคมขนาดไหน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนแพทย์แล้ว ยังไง๊ ยังไง ก็ปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้ แต่ละวันก็จะเจอแต่เพื่อน พี่ น้อง ในคณะ เรียกว่าเวลาที่จะไปพบปะกับเพื่อนต่างคณะน้อยลงทุกทีตามชั้นปีที่สูงขึ้น .... ฉะนั้น นักเรียนแพทย์อาจโดนเพื่อนต่างคณะเลิกคบได้ทุกเมื่อ...
เพื่อนต่างคณะ : เอ้ย วันจันทร์เลี้ยงน้องจังหวัดนะ 4โมงเย็น มาให้ได้นะแก
นักเรียนแพทย์ : เออน่า เด๋วเราไปก่อนเวลาสักครึ่งช.ม.เลยเป็นไง ฮ่าๆๆ
วันจันทร์....
16:00 น.
เพื่อนต่างคณะ : ไหนว่าจะมาก่อนเวลาไง 
นักเรียนแพทย์ : เดี๋ยวแปบนึงนะ เรายังผ่าอาจารย์ใหญ่ไม่เสร็จเลยอะ 
16:30 น.
เพื่อนต่างคณะ : เสร็จยังวะ อย่าบอกนะว่าไม่มา ปีที่แล้วก็ชิ่งทีนึงแล้ว 
นักเรียนแพทย์ : เออ บอกว่าไปก็ไปดิ แค่นี้ก่อนนะเว้ย คุยลำบาก ต้องถอดถุงมือ
17:00 น. 
เพื่อนต่างคณะ : เฮ้ย เค้ารอเมิงคนเดียวเนี่ย จะมามั้ย จะได้ให้น้องเค้ากินๆกันก่อน 
นักเรียนแพทย์ : เออๆ เมิงให้เค้ากินกันเลย กุน่าจะสาย (ได้ข่าวว่าสายอยู่แล้ว) เสร็จแล้วเดี๋ยวกุโทรไป
.....
19:00 น.
เพื่อนต่างคณะ : โทษทีที่กุโทรมาก่อน คือเค้าเสร็จกันแล้ว เมิงจะมาเจอพวกกุป่ะ 
นักเรียนแพทย์ : เออเมิง โทษทีว่ะ อาจารย์เพิ่งบอกว่าพรุ่งนี้quiz กุคงต้องอ่านหนังสือ 
เพื่อนต่างคณะ : ไอ้..... 

อย่างไรก็ตาม วันว่างๆหลังสอบ หรือช่วงที่ไฟไม่ลนก้นก็สามารถไป hang out กับเพื่อนๆได้บ้างนะ 555

5. มักไม่ค่อยเสียดุลให้เด็กต่างคณะ : จากผลพวงของข้อที่แล้ว นักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่ในคณะตัวเอง ไม่ค่อยมีเวลาออกไปพบปะผู้คนสักเท่าไหร่ จากเดิมที่เคยเสียดุลให้ต่างคณะก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะสาวๆที่มีแฟนอยู่คณะอื่น พอเริ่มไม่มีเวลาให้ หนุ่มๆก็จะเริ่มหายหน้าไปอย่างช้าๆ ถ้าไม่รักหนักแน่นเหมือนเพลงพี่เบิร์ดก็เป็นอันต้องลงท้ายด้วย "เราเป็นเพื่อนกันเถอะ" ทุกครั้งไป และสุดท้าย พอเริ่มเรียนไปเรื่อยๆ เจอคนหน้าเดิมๆซ้ำๆ ทุกวันๆ ก็เกิดอาการ "เพื่อน กุรักมึงว่ะ" (อันนี้ใช้ได้กับทุกเพศ ) เพราะนอกจากจะไม่มีใครให้มองแล้ว คนในคณะยังเข้าใจกันดีอีกด้วย .... แต่ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น .. ปัจจุบัน ยังมีคู่รักหนักแน่นหลายคู่ที่แม้จะเป็นเด็กต่างคณะแต่ก็ยังอยู่ทนอยู่นานมาจนถึงทุกวันนี้
และจากสถิติ.. พบว่านักเรียนแพทย์ชาย ยังคงเป็นที่สนใจของสาวๆ(และหนุ่มๆ? )คณะอื่นอยู่พอสมควร(ช่างต่างกับนักเรียนแพทย์หญิง ฉะนั้น ... เหล่า XY (หรือ XXY) ไม่ต้องกลัวจะขึ้นคานนะจ๊ะ 55
พิมมาถึงตรงนี้ชักจะเริ่มยาว ... เอาเป็นว่าค่อยมาต่อข้อ 6-10 วันหลังดีกว่า 55
ป.ล. พรุ่งนี้สอบ lab .... แล้วเรามาทำอะไรตรงนี้ 

ไม่มีความคิดเห็น: