วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

11วิธีที่จะอ่านหนังสือสอบคนเดียวให้Work!

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่เทศกาลสอบปลายภาค หลายคนอาจจะสอบเสร็จแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้สอบ หรือรอสอบตอนอื่นแล้วยังอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ลองมาอ่านข้างล่างนี้ดูค่ะ เป็นวิธีที่เราใช้บ่อยๆสมัยเรียน อาจจะไร้สาระบ้าง แต่ทำตามแล้วมันแจ่มนะเออ
1.อย่าทะเลาะ หรือมีเรื่องที่ทำขุ่นหมองข้องใจกับแฟน
อย่าทำเป็นล้อเล่นไปเชียว ใครที่มีแฟนคงจะรู้ว่าเขาหรือเธอมีอิทธิพลมากขนาดไหนต่อการอ่านหนังสือสอบ เรื่องอื่นกับงานน่ะใครๆก็บอกว่าแยกแยะได้ แต่เว้นเรื่องนี้ไว้เรื่องนึง วันไหนที่คุณทะเลาะกับแฟน หรือถูกแฟนบอกเลิกในช่วงสอบล่ะก็ มันทำให้คุณคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ ตอนอ่านหนังสือก็จะนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดกับแฟนเป็นพักๆ นอกจากไม่มีสมาธิอ่านหนังสือแล้วอาจจะประชดชีวิตตัวเองด้วยการทำตัวให้เหลวแหลกเลยก็ได้
กรณีตัวอย่าง สมัยที่เราเรียนในมหาลัยเราพักกับรูมเมทอารมณ์หัวรุนแรงอยู่คนนึง แล้วมีตอนที่ทะเลาะกับแฟนจนแทบจะบอกเลิกกันช่วงใกล้สอบ คนอื่นเค้าอ่านหนังสือสอบกัน แต่มันไปซดเหล้าเป็นน้ำเลย กลับห้องมาระบายใส่ข้าวของรบกวนคนอื่นอ่านหนังสืออีก จะติวอะไรให้มันก็ไม่เข้าหัวแล้ว
2.ทำอย่างอื่นให้เสร็จแล้วค่อยอ่าน
เวลาที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำตอนใกล้ตายก็รู้สึกตายตาไม่หลับเลยใช่มั้ย ตอนอ่านหนังสือก็เหมือนกัน พอมีอย่างอื่นที่ค้างคาแล้วไปอ่านหนังสือก็จะคิดถึงแต่เรื่องนั้น ลังเลคิดว่าจะทำต่อดีมั้ยหรือไม่ทำดี หรือที่จริงควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ คิดอยู่นั่นแหละ ตัวหนังสือที่อ่านๆก็เลยกลายเป็นเรื่องผ่านตาไป
กรณีตัวอย่าง ช่วงใกล้สอบเราดันนั่งชิลๆไปเล่นเกม แล้วเล่นเกมไม่จบ ไปอ่านหนังสือต่อ ก็คิดๆไปว่าด่านนี้จะผ่านยังไงฟะ โธ่ถ้าเล่นป่านนี้จบไปแล้ว คิดมากจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือ เลยไปเล่นให้มันจบซะ แล้วอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจ(ถ้าไม่คิดจะเล่นเกมอื่นต่อนะ)
3.ตั้งใจเรียนซะสิ
หายากนะที่จะมีอาจารย์คนไหนมาช่วยทวนเรื่องที่เคยเรียนก่อนสอบ(บอกว่าจะออกอะไรบ้างก็บุญโขแล้ว) ท่านก็มีเวลาส่วนตัวเหมือนเรา ถ้าเข้าใจตั้งแต่อยู่ในห้องเรียน เวลาอ่านหนังสือช่วงใกล้สอบก็ง่ายขึ้น เพราะพอจะอ่านเราก็รู้สึกว่า เฮ้ยเรื่องนี้เรารู้อยู่แล้ว จำได้ๆ งั้นผ่านไปเรื่องอื่นเลยแล้วกัน ดีกว่ามาคิดเฮ้ยเรื่องนี้มันเป็นไงมาไงฟะ เห็นมั้ยย่นเวลาอ่านหนังสือได้เยอะ แต่ก็อย่ามั่นใจมากจนเกินไป บางวิชามันก็ไม่ได้ออกตามหนังสือ(อย่างเช่นคณิตศาสตร์ สอนอย่างมัธยมแต่ข้อสอบยังกับป.ตรี เรื่องแคลคูลัสน่ะเห็นมั้ย) การทำความเข้าใจตั้งแต่ในคาบเรียนมันจะทำให้เรามีเวลาไปทำโจทย์ที่ยากกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนได้ค่ะ
กรณีตัวอย่าง จะบอกยังไงว่ามันไม่มี - - ดันเอาตัวอย่างไปอธิบายแล้ว
4.หนีห่างจากIT
ตอนอ่านหนังสือมันอย่างน้อยก็มีแค่กระดาษกับแสงไฟเท่านั้นแหละที่จะช่วยเราได้ แต่เทคโนโลยีมันทำให้เราสะดวกสบายและได้รับความบันเทิงมากไปหน่อย เลยทำให้หลายคนเคลิ้มไปกับมัน โดยเฉพาะพวกอยู่หอพักแล้วมีไวเลสเนี่ยต่อโน้ตบุ๊คกันกระจายเลยใช่มั้ย เล่นเอาซะไม่อยากอ่านหนังสือเลย ทางที่ดีก็อยู่ห่างๆมันซะ ถ้าใครต้องอ่านจากสไลด์PowerPointก็ปริ๊นใส่กระดาษ(มันอ่านง่ายกว่าเลื่อนไปเลื่อนมาในคอมจริงๆนา) ฝากไว้ที่บ้าน หรือเอาเก็บใส่กล่องสมบัติแล้วล็อคกุญแจไว้ซะ หรือถ้ากลัวจะไขขึ้นมา ก็ทำให้มันพัง เอาน้ำราด ปล่อยไวรัสลงคอม เท่านี้เราก็จะห่างมันได้เป็นเดือนเลยล่ะ วะฮะๆฮ่า
กรณีตัวอย่าง โน้ตบุ๊คตัวเองนั่นแหละ เล่นมันดีนักจนไม่อ่านหนังสือ เล่นจนจอเสื่อมไปเลย เอาไปซ่อมก็ไม่คุ้ม เลยพับเก็บไว้ รอซื้อในงานคอมมาร์ท กว่าจะได้ซื้อก็หลังสอบ ระหว่างที่ไม่มีอะไรเล่นก็อ่านหนังสือมันอย่างเดียวแหละ แต่เช่าจากร้านการ์ตูนมาอ่านนะ(อ้าวเฮ้ย)
5.อ่านหนังสือตอนกลางคืน
วิธีเบสิคสำหรับคนชอบความเงียบ ถ้าใครคิดว่ากลางวันมันร้อน แล้วเจอเสียงดังๆจากคนรอบข้างแล้วมันทำให้เสียสมาธิ อ่านไม่ได้ ลองเปลี่ยนเวลามาอ่านในยามราตรีค่ะ ทั้งเงียบ ทั้งเย็น ส่วนใหญ่หลับกันหมดแล้ว ถึงจะมีคนอ่านกลางคืนเหมือนกันก็ทำเสียงดังไม่ได้เพราะจะรบกวนการนอนของคนที่เหลือ แถมไม่มีใครมาคุยรบกวนตอนอ่านหนังสือ โลกนี้เป็นของข้าแล้ว คราวนี้จะตั้งใจอ่านอะไรก็อ่านไปค่ะ แต่ถ้าอ่านแบบโต้รุ่งแบบไม่หลับไม่นอนระวังผลข้างเคียงตอนทำข้อสอบนะคะ เพราะสิ่งที่อ่านไว้อาจจะสูญเปล่าเพราะลืม เบลอ ง่วงนอน ดีไม่ดีจะหลับคาห้องสอบซะอีก  สรุปวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายพร้อมด้วย อ่อ และวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวผีนะ
กรณีตัวอย่าง สมัยเรียนมหาลัย(อีกแล้ว) เราอ่านหนังสือในหอพักมันก็จะมีพวกที่สมาธิไม่นิ่งเข้ามาเยี่ยมในห้องและชวนรูมเมทเม้าแตกกระจาย ชวนทำปาร์ตี้มาม่า ดูหนัง (เฮ้ยนี่ตอนใกล้สอบจริงอะ) เราก็เข้าไปร่วมวงกับเขา แล้วตอนกลางคืนที่พวกมันหลับกันก็อ่านหนังสือค่ะ ซดกาแฟไปหลายจอกเลย - - พอดีเราเป็นพวกชินกับกลางคืนอยู่แล้วด้วย รู้สึกว่าอ่านกลางวันความรู้อะไรไม่เข้าหัวเลยอะ
6.นอนให้อิ่มแล้วค่อยอ่าน
อันนี้สำหรับคนบริหารเวลาเป็นจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่าหนังสือมันมีสารอะไรเคลือบไว้ พอเริ่มอ่านหนังสือได้ซักหน้าสองหน้าก็จะเริ่มทำตาปรือ สมองเบลอ แล้วก็ Zzzz กว่าจะตื่นมาก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบแล้ว คราวนี้กลายเป็นอ่านแบบลนๆอีก แล้วอะไรจะเข้าหัวล่ะ ให้เรานอนจนเต็มอิ่มซะก่อน พอตื่นมาในหัวมันก็จะว่างเปล่า ไม่ใช่สมองกลวงนะ แต่พร้อมที่จะรับอะไรมาใส่หัวโดยที่ไม่มีอาการต่อต้านเลยตะหากล่ะ
กรณีตัวอย่าง เพราะผลพวงที่เกิดมาจากการอ่านแบบโต้รุ่งทำให้กลางวันต้องหลับเป็นตาย แค่อยู่เฉยๆก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ไหวแล้วล่ะ Zzz
7.อย่าอ่านในห้องสมุดที่เปิดแอร์เย็นๆ
รู้มั้ยอากาศเย็นๆมันน่านอนแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะนอนมาเต็มอิ่มแล้วก็เถอะ ขนาดนอนบนเตียงในห้องแอร์ตื่นมาแทบไม่อยากจะลุกขึ้นเลย แล้วนั่งอ่านหนังสือเฉยๆจะทนไหวเหรอ ถ้าจำเป็นจริงๆก็เปิดให้มันเย็นแบบพอดีๆค่ะ ไม่งั้นอ่านไปไม่กี่หน้าก็ฟุบคาโต๊ะ อาเมน
กรณีตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งที่เรานึกครึ้มอยากไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของมหาลัย ซึ่งมันขึ้นชื่อเรื่องเปิดแอร์เย็นมากๆ(ทั้งๆที่เห็นว่ามันถูกปรับเป็น25องศา...25องศาฟาเรนไฮต์รึไงฟะ) แค่เดินไปเลือกหนังสือก็เคลิ้มแล้ว พอได้หนังสือมาปุ๊บก็เอามาหนุนนอนเลย เวรกรรม
8.เปลี่ยนคนที่เราไม่ชอบหน้าให้กลายเป็นคู่แข่งทางการเรียน
เอาเถอะถึงเค้าจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเราหมั่นใส้เค้าน่ะ แต่มันก็รู้สึกดีใช่มั้ยที่มีอะไรเหนือกว่า เวลาที่คิดจะทำอะไรที่ไม่เข้าท่าในช่วงสอบให้คิดเอาไว้ซะว่า ถ้าเจ้าหมอนี่มันได้คะแนนดีกว่าเราคงถูกเยาะเย้ยแน่ๆ จะต่อหน้าหรือลับหลังก็เถอะ แต่ไม่ต้องไปประกาศท้าแข่งกับมันนะ อย่างน้อยก็เผื่อเราแพ้ไง
กรณีตัวอย่าง เราทะเลาะกับเพื่อนที่ผลการเรียนสูสีกันตอน ม.ต้น  เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแหละ แต่ทิฐิแรงเกินไปเลยคืนดีช้าไปหน่อย ช่วงที่แง่งๆใส่กันก็อ่านหนังสือสอบเพราะแรงฮึดแปลกๆ แบบกว่ากลัวมันทำคะแนนได้เยอะกว่าเราแล้วเอาไปกระแนะกระแหนน่ะ แถมคะแนนสอบก็ประกาศในห้องด้วย สุดท้ายก็ชนะมัน ฮี่ๆ
 9.คิดถึงหน้าพ่อแม่ซะบ้าง
ในสังคมของพ่อแม่เราเวลาคุยกับชาวบ้านเรื่องลูกๆ ถ้ายังเรียนไม่จบก็จะพูดกันเรื่องเรียนทั้งนั้นแหละ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนกล้าพูดอวดให้คนอื่นเค้าฟังหรอกว่าลูกตัวเองเรียน5ปี หรือใกล้โดนรีไทร์ เวลาที่เรารู้ผลการเรียนแย่ๆแล้วพ่อแม่มาถามก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย(บางคนนี่ถึงขนาดรอรับผลการเรียนทางจดหมายเพื่อเอาไปซ่อนเลย) ถ้ายังไม่ได้หาเงินส่งตัวเองเรียนก็นึกถึงผู้มีพระคุณต่อเราไว้ก่อน นึกถึงสีหน้าตอนที่คนอื่นถามถึงผลการเรียนของคุณ
กรณีตัวอย่าง อันนี้ไม่รู้จะเกี่ยวรึเปล่า เรายืมmp3ของเพื่อนที่มันนั่งเล่นเกมอยู่มาฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ(ชิลได้อีก) เวลาได้ฟังเพลงเพราะๆจะชอบร้องท่อนฮุคด้วย แล้วได้ฟังเพลงฮอร์โมน ของกรูฟไรเดอร์เข้า ที่ท่อนฮุคมันร้องว่า"คิดเอาไว้~คิดถึงหน้าพ่อแม่ของเธอไว้ ..." ฮ่ะๆ ร้องลั่นห้องเลย ไอ้พวกที่เล่นเกมก็สะดุ้งโหยงสิ แล้วก็มีอีกเพลงนึง(จำชื่อไม่ได้) ที่มันมีท่อนที่ร้องว่า"จะเอาอะไรกับมันมาก อีกไม่นานก็ตาย..." ซักพักเพื่อนมันบอก"เฮ้ยไอ้ปู แกฟังเพลงเงียบๆไปเลย เดี๋ยวจะอ่านหนังสือแล้ว เลือกร้องเพลงแต่ละเพลงได้ซะ..." เห็นมั้ยว่าเวลาคิดถึงหน้าพ่อแม่มันทำให้มีแรงฮึดอ่านหนังสือ ตกลงตัวอย่างที่กล่าวมามันเกี่ยวกันมั้ยฟะ
10.หักห้ามใจที่จะทำเรื่องอื่นไว้ซะ
พิมพ์ๆไปมันง่าย อ่านง่าย แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำยากเอาเรื่อง ถึงจะอยากทำโน่นทำนี่ก็ต้องหยุดความเอาแต่ใจตัวเองเอาไว้ก่อน ตารางสอบก็กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แถมไม่ได้สอบทุกวัน(ส่วนใหญ่คงเป็นแบบนี้กัน) เวลาว่างๆไปอ่านหนังสือซะสิ
กรณีตัวอย่าง ผู้หญิงที่มีชื่อย่อ ป. เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง เรียนจบมาครึ่งปี มันบอกว่าจะอ่านหนังสือเพื่อสอบกพ. สอบTOEICอะไรของมัน มัวแต่มาต่อเน็ต นั่งเล่นเกม แปลโดYอยู่ได้ ไปอ่านหนังสือสิฟะ
11.คลิกไปที่มุมขวาบนเถอะ
พอได้สติก็จะรู้ตัวแล้วว่ามันเริ่มไร้สาระ และนี่เป็นการเริ่มต้นที่จะหักห้ามใจตัวเอง ฉะนั้นคลิกไปซะ เดี๋ยวนี้เลย  (ALT+F4 ก็ได้ อิอิ)
กรณีตัวอย่าง ไม่มี...เพราะคลิกไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: