วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

น้องแชมป์ กสพท 58 เผยเทคนิคการเตรียมสอบ +!!

แชมป์นร.‘หมอศิริราช’เผยเทคนิคสอบเข้าหนุนเท่าเทียมรพ.รัฐ-เอกชน : ชุลีพร อร่ามเนตรรายงาน

            ตามที่กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ได้ดำเนินการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2558 และได้ประกาศผลสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ปรากฏว่าผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม กสพท. คือ "น้องเซี้ย" นายกิจเกษม เกียรติกุลวัฒนา นักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งสามารถทำคะแนนได้สูงสุด 84.6511 คะแนน ในการสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.)

            เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มม. เป็นวันสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายของนักเรียนแพทย์ที่สอบเข้าได้ น้องเซี้ย ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เชื่อว่าจะสอบได้อันดับหนึ่งของกลุ่มแพทย์ เพราะมองว่ายังมีคนเก่งอีกมาก ก่อนหน้านี้ก็สอบโควตาคณะแพทยศาสตร์ ได้ทั้งที่ ม.ขอนแก่น และคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และติดสำรองแพทย์ทหารอากาศ แต่ได้สละสิทธิ์ เพราะมีความใฝ่ฝันที่จะเข้าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ 

            สำหรับเคล็ดลับในการสอบ ได้พยายามทำข้อสอบเก่าและแบบฝึกหัด โดยจดข้อผิดพลาดที่ทำแล้วมาทบทวนอีกครั้ง ส่วนวิชาที่คิดว่าแม่นยำแล้วก็จะไม่ทบทวนซ้ำๆ แต่จะนำเวลาไปทบทวนในวิชาที่ยังไม่ค่อยถนัด

            “ผมไม่ได้เป็นที่เด็กที่มุ่งแต่เรียน เวลาอยู่ในโรงเรียนจะทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วย เพราะกิจกรรมทำให้เรามีสังคม รู้จักแบ่งเวลาเรียน ส่วนการเรียนกวดวิชาจะมองว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพราะบางโรงเรียนครูสอนไม่ชัดเจน การอ่านเองก็คงทำได้ไม่ดีต้องเรียนกวดวิชา ซึ่งผมเรียนพิเศษเฉพาะตอนที่เข้าสอบแอดมิชชั่นส์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญต้องโฟกัสการเรียนในห้องเรียนมากกว่า” น้องเซี้ย กล่าว

            นักเรียนผู้สอบเข้าแพทย์ศิริราช ได้อันดับหนึ่ง บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนตลอด แต่เมื่อได้มาเห็นคนไข้ในโรงพยาบาลรัฐต้องรอคิวนอนอยู่หน้าห้องตรวจเป็นจำนวนมาก สภาพอากาศร้อน ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง จึงอยากเห็นภาพการให้บริการของโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนไม่ต่างกัน และให้การรักษาคนไข้เท่าเทียมกัน ส่วนการศึกษาอยากให้การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมมากขึ้น ไม่ใช่เน้นท่องจำเนื้อหา

            สำหรับผู้ที่ทำคะแนนได้อันดับ 2 ในการเข้าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ คือ "น้องเคน" นายอัคคภัทร์ จารุชัยยง ได้ 83.27 คะแนน อันดับ 3 นายปารินทร์ วงศ์สานุภา ได้ 83.25 คะแนน และอันดับ 5 น.ส.ภัทรศยา วีระโชติสกุล ได้ 82.71 คะแนน ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

            น้องเคน ระบุว่า อยากเรียนแพทย์ เพราะทุกครั้งไปโรงพยาบาลได้เห็นการทำงานของแพทย์ แล้วรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละ ซึ่งอยากมีโอกาสแบบนั้นบ้าง เมื่อขึ้น ม.ปลายจึงมุ่งมั่นตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้าแพทย์ โดยหมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำโจทย์ วิชาไหนที่ไม่ถนัดก็จะให้เวลามากหน่อย และจะกำหนดตารางชีวิตของตัวเองว่าต้องอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน อ่านวันละกี่นาทีกี่ชั่วโมงก็ได้แต่ขอให้ได้อ่าน ไม่ได้เคร่งเครียดกับตัวเองว่าต้องอ่านให้ได้มากๆ

            “ช่วงชีวิต ม.ปลายเป็นช่วงที่สนุกที่สุด เราจะเอาแต่เรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเรียน เล่น และมีความรับผิดชอบ อย่างผมเป็นคณะกรรมการของโรงเรียน เล่นกีฬาหลังเลิกเรียน และเมื่อกลับบ้านก็อ่านหนังสือบ้าง ฝึกทำโจทย์บ้าง ฝากทุกคนให้ตั้งใจเรียนในห้องเรียน แต่ถ้าพลาดในการสอบ เศร้าได้ เสียใจได้ แต่ต้องลุกขึ้นเพื่อเดินตามความฝันของเราต่อไป เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้อยู่หยุดเพียง ม.ปลาย หรือจะเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น” น้องเคน กล่าว

            ส่วนอนาคต “เคน” อยากเป็นหมอรักษาโรคมะเร็ง หรือทำงานวิจัยเกี่ยวกับด้านมะเร็ง เพราะอยากช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีความสุขในการใช้ชีวิต โดยเขามุ่งมั่นจะเป็นแพทย์ที่รักษาคนป่วยทั้งกายและจิตใจ ไม่ใช่รักษาเพียงกายเท่านั้น

            ด้านคนเก่งอีกราย น้องหมี หรือนายปารินทร์ วงศ์สานุภา กล่าวว่า แรงจูงใจที่อยากเรียนแพทย์ เพราะเป็นอาชีพที่ท้าทาย ได้รักษาและบำบัดทุกข์ให้คนไข้ ซึ่งตั้งใจอยากเป็นศัลยแพทย์ ส่วนการทำข้อสอบจนได้คะแนนเป็นอันดับ 3 ของคณะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด รู้จักบริหารเวลาอย่างคุ้มค่า และไม่เรียนพิเศษ ซึ่งการเรียนพิเศษอาจจะสำคัญกับบางคน แต่โดยส่วนตัวคิดว่าสามารถอ่านหนังสือและทบทวนด้วยตนเองได้

            "มุมมองต่อวงการแพทย์อยากให้มีแพทย์ทางด้านวิจัยมากขึ้น เพื่อพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องการศึกษา รู้สึกว่าแม้จะมีการสอบคัดเลือกมากขึ้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสทางเลือกให้แก่เด็ก ถ้าจะปรับควรปรับเรื่องจำนวนครั้งในการสอบให้เหมาะสมและพัฒนาข้อสอบให้มีคุณภาพมากขึ้น" น้องหมี ให้ความเห็น

            ขณะที่ น้องเอน่า หรือ น.ส.ภัทรศยา วีระโชติสกุล กล่าวถึงแรงบันดาลใจที่อยากเรียนแพทย์ว่า ต้องการรักษาคนในครอบครัว ซึ่งอาม่าป่วยเป็นอัลไซเมอร์ อยากเป็นแพทย์รักษาทางด้านสมอง และจากการติดตามข่าวสารทางการแพทย์ เห็นได้ว่ามีอัตราผู้ป่วยทางด้านสมองมากขึ้น ถ้าเป็นส่วนหนึ่งช่วยเหลือผู้ป่วยคนอื่นๆ ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยทางด้านนี้คงเป็นเรื่องที่ดี สำหรับเทคนิคการเตรียมตัวสอบ ส่วนใหญ่เน้นการทบทวนบทเรียน ฝึกทำโจทย์ และวางแผนของตัวเอง ซึ่งโชคดีที่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรมุ่งมั่นตามเป้าหมายที่วางไว้

            “ยอมรับว่าในช่วงเตรียมตัวสอบมีเหนื่อยและท้อในการอ่านหนังสือเหมือนกัน แต่โชคดีที่ได้พ่อ แม่ คนในครอบครัว คอยให้กำลังใจ และคำแนะนำ จึงอยากฝากพ่อแม่ทุกคนว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถ พ่อแม่ควรให้กำลังใจ คอยสนับสนุน อย่ากดดันลูกๆ เพราะตอนนี้ทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะมีคุณภาพ ศักยภาพในการเรียนการสอนไม่ต่างกัน ทุกคนสามารถเรียนที่ไหนก็ได้เพียงแต่ขอให้ตั้งใจเรียนและมุ่งมั่นจริงๆ” น้องเอน่า กล่าวปิดท้าย

ไม่มีความคิดเห็น: