วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

5 วิธีกำจัดความ "ขี้เกียจ"



คำคมเด็ดจากโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง คำคมนี้มาจากคำสอนของพระพยอมกัลยาโณ เจ้าอาวาสแห่งวัดสวนแก้ว เค้าว่าคำคมนี้ยังเปรียบเสมือน “ยันต์แก้จน” แก่ปุถุชนทั้งหลายที่ล้วนจำขึ้นใจนำไปปฏิบัติเพื่อใช้ดำเนินชีวิต ซึ่งก็ถือเป็นสัจธรรมแห่งความจริงตามคำพระท่านสอน เพราะไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่ประกอบสัมมาอาชีพต่างๆ ล้วนต้องมีความมุมานะ มุ่งมั่นตั้งใจ และเพียรพยายาม ที่สำคัญคือตั้งอยู่บนบรรทัดฐานของความสุจริต บุคคลนั้นย่อมจะประสบความสำเร็จ
แต่แล้วกิเลสย่อมเหนือกว่าสิ่งดีๆทุกครั้งไป มีหลายๆคนรวมทั้งผมทั้งคุณเองที่บางครั้งก็ห้าม “ความขี้เกียจ” ไม่ได้สักที ทั้งๆที่รู้ว่าหากเราไม่ขี้เกียจเราจะกลายเป็นคนรวย เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้…
คำถามคือ แล้วเราจะกำจัดเจ้าความขี้เกียจนี้อย่างไรล่ะ?
ผมได้ตั้งคำถามนี้กับเพื่อนๆในกลุ่มของ IOSIC เอง รวมถึงได้ค้นคว้าหาวิธีจากประสบการณ์ของตัวเองรวมถึงใน Internet และหนังสือต่างๆด้วย ก็จับวิธีเด็ดๆมาให้เป็น 5 วิธีกำจัดความ”ขี้เกียจ”ให้ชะงักงัน ให้เพื่อนๆได้ลองปฏิบัติกันครับ

แรงบันดาลใจเป็นบ่อเกิดแห่งพลังอำนาจทั้งปวง คนเราทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตัวเองต้องการ อยากจะได้ อยากจะเป็นกันทุกคน ในหนทางสู่จุดหมายของเรามันมีระยะทาง บ้างใกล้ บ้างไกล แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนทางอันยาวไกลทั้งสิ้น ในระหว่างทางนั้นแหละ ที่ทำให้เราเอื่อยเฉื่อยจนหลงลืมจุดประสงค์ของการเดินทางไป ทำให้ขนแห่งความขี้เกียจเริ่มเกาะกินภาพแห่งความสำเร็จไปเรื่อยๆจนรกรุงรัง จนเราแทบมองไม่เห็น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกระตุ้นแรงบันดาลใจของเราด้วยคำถามสองคำถามคือ“ทำไม” และ “เพื่ออะไร”
เพื่อนๆลองทบทวนถึงสิ่งที่เพื่อนๆทำอยู่ในขณะนี้ว่าเราทำไปทำไม ถ้าคำตอบมันไม่ใช่การเดินเข้าสู่จุดมุ่งหมายก็เตรียมตัวย้ายก้นไปทำในสิ่งที่มุ่งหาเป้าหมายของเราดีกว่า และถามต่อว่าเราเดินเข้าสู่เป้าหมายนั้น เราทำเพื่ออะไร… จงพยายามหาคำตอบให้ได้หลายๆเหตุผล การที่เรามีเหตุผลของการมุ่งสู่เป้าหมายเยอะ มันยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เราหายขี้เกียจ และลุกขึ้นมาทำงานต่อได้ :)

วิธีสุดเด็ดจากหนังสือ “เปลี่ยนตัวเองใน 5 นาที” ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ที่เค้าแนะนำเราเพียงสั้นๆว่า ให้กลั้นใจแล้วลุกขึ้นมา มองหน้าขึ้นฟ้าทำมุม 45 องศา สายตาทำมุม 60องศา กำหมัดแล้วชูมือขึ้นเหนือหัว มือเท้าเอวหนึ่งข้าง ยืนแยกขากว้างประมาณบ่า…
วิธีนี้ดูเหมือนจะเป็นวิธีบ้าๆ ออกแนวต๊องๆ แต่เชื่อเถอะครับว่าถ้าได้ทดลองทำ คุณจะติดใจ(ทุกวันนี้ผมทำบ่อย ฮา) เพราะนอกจากเรากำจัดความขี้เกียจได้แล้ว ยังทำให้เรารู้สึกสดชื่นพร้อมจะลุยทุกอย่างในวันนั้นกันเลยล่ะ

การเีขียนปฏิทินงานนับเป็นวิธีที่นิยมกันมาก ถึงแม้มันจะออกแนววิชาการไปหน่อยเพราะเมื่อเราบอกว่า “ตารางงาน” เราจะนึกถึงนักธุรกิจใหญ่โตหรือผู้บริหารอาวุโส แต่… วิธีการเขียนปฏิทินงานนั้นสามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยครับ ขอแค่คุณมีความฝันเท่านั้นเอง เพราะการเขียนปฏิทินงานจะช่วยให้คุณรู้ว่า วันนี้คุณต้องทำอะไร พรุ่งนี้คุณต้องทำอะไร มันช่วยให้คุณจัดการกับชีวิตได้ง่ายขึ้น
ผมเป็นคนหนึ่งที่จะรู้สึกขี้เกียจมากๆเวลาที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร หรือมีอะไรให้ต้องทำเยอะแยะมากมายในเวลาเดียวกัน แต่การเขียนปฏิทินงานช่วยผมได้เยอะ มันทำให้ผมแยกแยะงานก่อนหลังได้ ทำให้ผมโฟกัสกับงานที่ได้ลงตารางไปแล้วให้เสร็จได้ภายในเวลาอันสั้น และเมื่อผมพลิกกับไปดู “ปฏิทินย้อนหลัง” ที่ผมได้บันทึกมา ก็ปรากฏว่า ผมทำอะไรไปได้เยอะเลยทีเดียว นั่นก็เท่ากับว่า เราไม่ขี้เกียจเลยสักนิดใช่ไหมครับ :)

ถ้าจะเอ่ยถึงเทคนิค push & pull สำหรับนักการตลาดจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ เพราะมันเป็นหนึ่งในเทคนิคการขายที่ว่า “ผลักก่อนเพื่อดึงได้มากขึ้น” ซึ่งเป็นเทคนิคขั้นสูงก็ว่าได้ครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะใช้เทคนิคนี้กันได้คล่อง แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือพี่ต่อ(Nippich Mathayomchan) ได้นำเทคนิคนี้มาประยุกต์ใช้กับการกำจัดความขี้เกียจครับ

ผมเชื่อว่ามีหลายคนเลยครับที่กำลังจะทำอะไรตามฝันของตัวเองหรือคิดที่จะทำธุรกิจแล้วก็โดนคนรอบข้างบอกว่า “แกทำไม่ได้หรอก” , “อย่าไปทำเลย ไม่เห็นมีใครทำได้สักคน” , “เรียนก็ไม่จบ จะไปทำอะไรได้” บลาๆๆ ….. ใช่แล้วครับ สิ่งนั้นก็คือ “คำดูถูก” นั่นเอง
คำดูถูก เปรียเสมือนเป็นดาบนะครับ หากเราคิดว่ามันคือดาบที่กำลังมุ่งเข้ามาทิ่มแทงเรา มันก็จะทิ่มแทงเรา แต่หากเราคิดว่ามันคืออาวุธชั้นเลิศ มันก็จะกลายเป็นอาวุธชั้นเลิศที่เราครอบครองอยู่ การเปลี่ยน “คำดูถูก” ซึ่งเปรียบเสมือนแรงกดดัน ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจหรือแรงผลักดันได้นั้น นับว่าเราสอบผ่านทุกประการเลยครับ เพียงเท่านี้เราก็สามารถทำให้ตัวเองกลับขึ้นมาขยันได้อีกครั้ง หลังจากหลับไหลอยู่กับความขี้เกียจจากแรงกดดันอยู่นาน
ทั้ง 5 วิธีนี้ นับเป็นหนทางหนึ่งเท่านั้นที่เราจะกำจัดความขี้เกียจออกไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งนี้ก็เป็นเพียง “วิธีการ” เท่านั้น หากเราจะให้มันได้ผลจริงๆเราก็ต้องนำมันไปปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วเชื่อได้เลยว่า ไม่ว่าคุณจะปฏิบัติวิธีไหนก็ตาม หากมันเป็นหนทางที่มุ่งสู่เป้าหมายของคุณ คุณก็จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

ไม่มีความคิดเห็น: