วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

5 สิ่งที่ "นักเรียน" ควรจะเข้าใจ



หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า 
 
"ไม่เห็นมันเข้าเรียนเลย  ทำไมมันสอบได้คะแนนเยอะกว่าเราอีก"
 
"อ่านนิยายทั้งวัน  สอบตรงติดได้ไงเนี้ย"
 
"ไม่เห็นเนิร์ด ดูธรรมด๊าธรรมดา จู่ๆมันเก่งได้ไงหว่า"
 
 
จริงๆแล้วคำตอบของคำถามเหล่านี้ ไม่ได้ยากเลย
เพียงแค่เราเข้าใจ ในสิ่งที่ "นักเรียน" ควรจะเข้าใจ 5 สิ่งนี้
 
 
1. ติดเกม ดอทบ้าง วินนิ่งบ้าง ออนเอม-เฟซบุ๊คตลอด ทำไมเขาเรียนเก่งได้
 
(บอกไว้ก่อนว่า  เรื่องแบบนี้มีหลายกรณี  ขึ้นอยู่กับความประพฤติของแต่ละคน)
 
บางคนเล่นคอมเยอะ ดูเกรียนๆติดเกม แตทำไมเขาถึงเรียนเก่ง
เหตุผลง่ายมาก  เพราะเขารู้ัจัก "แบ่งเวลา"
 
เป็นไปไม่ได้ที่ใครซักคนจะเก่งขึ้นมาเฉยๆ  โดยไม่เรียนรู้อะไรเลย
ในเวลาว่างเขาอาจจะอ่านหนังสือเรียน ฝึกทำโจทย์  ในขณะที่เราว่างแต่เราก็ยังเล่นเกมต่อไป
เวลาใกล้ๆสอบ เขาก็จะงดเล่นเกมหรือเล่นน้อยลง  เพราะอย่างนี้เขาถึงสอบได้ดีกว่าเรา
 
ปัจจัยสำคัญคือ การแบ่งเวลา
ถึงจะทำเรื่องไร้สาระ เล่มเกม เล่มเฟซ  อ่านนิยาย
แต่จุดสำคัญคือต้องรับผิดชอบในเรื่องเรียน  ซึ่งดีต่อตัวเราเอง และผู้ใหญ่ก็จะเชื่อมั่นในตัวเรา
 
 
2. ไม่เคยเข้าเรียน  โดดตลอด  มาสายปาไปคาบ2-3  ทำไมเขาเรียนได้ดี
 
จริงๆแล้วไม่สนับสนุนให้โดดเรียนหรือมาสายนะ  
การเรียนจะได้ผลดีที่สุด ควรจะต้องตั้งใจเรียนสม่ำเสมอ
 
คนพวกนี้ค่อนข้างจะจัดอยู่ในประเภท พวกหัวดี
หัวดีในที่นี้  หมายถึง สามารถเข้าใจบทเรียนได้ด้วยการอ่านหนังสือเอง  
แน่นอนว่า  พวกเขาเหล่านี้ ถึงจะถูกมองว่าขี้เกียจ ไม่ยอมเข้าเรียน
แต่ในทางกลับกัน ถ้าต้องการจะเรียนได้ดีเท่าพวกที่เข้าเรียน  เขาก็ต้องขยันมากขึ้นกว่าปกติ
ดังนั้น หัวดีอย่างเดียวไม่พอ  ต้องขยันให้มากขึ้นด้วย
 
ย้ำอีกครั้ง  การตั้งใจเรียนในห้องอย่างสม่ำเสมอ คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
 
 
3. ทำกิจกรรมตั้งเยอะ  กลับบ้านก็มืดค่ำ  แต่เขาก็สอบได้ดีเท่าคนอื่นๆ
 
ในกรณีตัวเราเอง  ถ้ามีใครมาบอกเราว่า  ทำกิจกรรมแล้วจะเรียนตก  เราขอแ้ย้งเลยว่าไม่จริง
กิจกรรมกับการเรียนทำควบคู่กันได้ อยู่ที่การแบ่งเวลา
 
เหตุผลค่อนข้างจะคล้ายกับข้อ2  พวกนี้ต้องขยันมากขึ้นเพราะไม่ได้เข้าเรียน
แถมเวลาว่างก็ไม่ค่อยมีเพราะหมดไปกับการทำกิจกรรม
 
คนที่ทำกิจกรรมแล้วเรียนดี  มักจะเป็นคนตื่นตัวอยู่ตลอด  และรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร
ในขณะที่คนทั่วๆไป มักจะคิดว่า ยังมีเวลาอีกเยอะ ไว้ทำวันหลังแล้วกัน
 
ทุกคนมีเวลา24ชม.เท่ากัน  แต่ถ้ามีเรื่องให้ต้องทำมาก  
เราก็จะเห็นคุณค่าของเวลาและใช้มันได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
 
ตรงข้ามกับข้อ2  เราแนะนำว่าการทำกิจกรรมควบคู่กับการเรียนเป็นสิ่งที่ดี
เพราะกิจกรรมจะให้ประสบการณ์กับเราอย่างที่การเรียนอย่างเดียวให้ไม่ได้
แต่อย่าลืม  แบ่งเวลาและัพักผ่อนให้เพียงพอ  หมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย
 
 
4. เขาไม่เห็นไปเรียนพิเศษ  บางทีก็โดดบ้าง  แต่เขาก็เข้าใจเนื้อหาพอๆกับเรา
 
อันนี้เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดกันเยอะมาก
เกิดเป็นค่านิยมผิดๆว่า ต้องเรียนพิเศษแล้วจะเรียนเก่ง
ต้องปรับความเข้าใจเลยว่า  มีคนจำนวนไม่น้อยที่เรียนพิเศษแล้วเก่ง
แต่ก็มีคนจำนวนมากพอดู  ที่เรียนพิเศษแล้วก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น
 
ความแตกต่าง อยู่ที่คำง่ายๆแต่ทำยาก คือ
"ความขยัน"
 
คนที่ไปเรียนแล้วได้ผล  คือ คนที่ทบทวนเนื้อหา  ทำแบบฝึกหัดทบทวน
พวกที่หัวดีหน่อยก็อาจจะไม่ต้องทบทวนมาก  แต่ถึงยังไงคนขยันก็ย่อมได้เปรียบกว่า
ส่วนคนทั่วๆไปที่หวังพึ่งความรู้ที่ถูกป้อนเข้ามาจากรร.กวดวิชาเพียงอย่างเดียว
โดยที่ตัวเองนั่งเฉยๆ แค่เข้าไปเรียน จดๆ กลับบ้าน  ต่อให้เรียนอีกนานแค่ไหนก็ยากจะได้ผลดี
 
เชื่อว่าหลายๆคน รวมทั้งตัวเราเอง  ก็ไม่ได้ไปเรียนกวดวิชาอะไรมากมาย
แต่ก็สามารถสอบติดคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันได้ไม่ยาก  ขอแค่ขยันอ่านหนังสือให้มากๆเท่านั้น
 
 
5. ชิววว  หลันหล้าาา  เฮฮา  ปาจิงโกะ   แต่....คะแนนแกทแพทสูงเว่อออ !
 
 ข้อสุดท้ายพบเห็นได้บ่อยมาก
 พวกที่เนิร์ดแล้วเรียนเก่ง  ไม่น่าแปลก
แต่พวกที่ชิวๆ ปกติธรรมดา  เที่ยวเฮฮาไปเรื่อยเปื่อย  อยู่ๆก็สอบตรงติดตัดหน้าคนอื่นไปแล้ว
 
แบบนี้มีหลายปัจจัย  ตั้งแต่ พวกหัวดี  ขยันเงียบ  รู้จักแบ่งเวลา  หรืออื่นๆ
แต่ที่แน่ๆ  ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่เฉยๆแล้วเก่งขึ้นมาได้
 
บางคนอาจจะเถียงว่า  คนนี้ไม่เห็นทำอะไร ทำไมเก่งกว่าคนอื่น หรือ
เรียนก็เหมือนๆกับเรา  แต่คนนี้สอบติดคณะดีกว่าเราอีก
 
อยากบอกว่า พวกที่เกิดมาหัวดี   ฉลาดแต่เกิด ไม่ต้องอ่านหนังสือมากก็เก่ง
จริงๆแล้ว  กว่าเขาจะเก่งมาได้ขนาดนี้  เขาต้องผ่านอะไรๆมาเยอะกว่าเราแน่ๆ
พรสวรรค์ก็มีส่วนช่วย  แต่แค่นั้นไม่พอ  พรแสวงก็เป็นสิ่งที่คนประสบความสำเร็จล้วนมีกันทั้งนั้น
อย่าเก็บมาเปรียบเทียบว่า เราทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมผลลัพธ์ต่างกัน
เพราะถึงที่ผ่านมา  เราจะรู้ไม่เท่าเขา  แต่ต่อๆไปถ้าเราขยันมากๆ ซักวันเราก็เก่งได้เหมือนกัน
 
สำหรับข้อนี้  อยากจะเน้นว่า
ไม่มีใครที่อยู่เฉยๆ  แล้วจะประสบความสำเร็จได้  ไม่ว่าเรื่องอะไร
ไม่ปีนี้ ก็ปีที่แล้ว หรือเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว  เขาต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆมา
แต่เราก็อย่ายอมแพ้  เพราะถ้าเขาทำได้  ทำไมเราจะทำไม่ได้
อย่างน้อยก็ให้พยายามอย่างเต็มที่  ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง  แต่เราก็สำเร็จที่ได้รู้จักชนะใจตัวเองแล้ว
 
 
 
จริงๆยังมีอีกหลายข้อ
แต่คิดว่าแนวความคิดแค่นี้  ก็น่าจะพอให้เอาไปคิดต่อยอดเองได้
 
 
 
ฝากถึงน้องๆที่กำลังจะแอดมิชชั่น
 
ตอนนี้หลายๆคนกำลังวิ่งนำลิ่วเกือบจะถึงเส้นชัยแล้ว
วิ่ง = อ่านหนังสือ ทบทวน  ฝึกทำข้อสอบ  เตรียมพร้อมต่างๆ
 
เวลา1ปีไม่ใช่การวิ่งระยะยาวเลย  แต่มันสั้นแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ยิ่งเราวิ่งมาก  เราก็จะแข็งแรงมาก  แค่วอร์มร่างกายนิดหน่อยก็มีสิทธิเข้าเส้นชัย
แต่ถ้าไม่เคยฝึกซ้อม  ค่อยมาฝึกตอนจะแข่ง  เวลาลงสนามเราก็จะหมดแรงง่าย
โอกาสจะถูกคนที่เขาแข็งแรงกว่าแซงก็สูงขึ้น  
 
ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยว่า  ทำไมคนที่สอบติดเขาไม่เห็นอ่านหนังสือมากเลย  ดูชิวๆก็สอบติดได้
เพราะ เขาอ่านมานานแล้ว  เขาเตรียมพร้อมอยู่เรื่อยๆ  พอถึงเวลาเขาก็มีอาวุธพร้อมจะลงสนามได้ทันที
 
 
เมื่อการแข่งขัน(สำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบัน คงต้องเรียกแบบนี้)สิ้นสุดลง
ผู้ที่จะได้รับชัยชนะ คือ ผู้ที่พยายามจนถึงที่สุดแล้ว
นี่เป็นการเริ่มต้นของความมุมานะเพื่อเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิต
ถ้าแค่นี้ยังทำเต็มที่ไม่ได้  ต่อไปจะทำอะไรสำเร็จได้อย่างไร
 
 
ความขยันตอบแทนคนขยันเสมอ  ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
 
และขอให้ทุกคนแอดมิชชั่นติดคณะที่ใฝ่ฝัน  มหาวิทยาลัยที่ฝันใฝ่กันถ้วนหน้า

ไม่มีความคิดเห็น: