วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บัณฑิตใหม่ป้ายแดงรั้วแดง-ทอง ม.แม่ฟ้าหลวง รับปริญญา'54


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประจำปีการศึกษา 2554 ณ หอประชุมสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำหรับในปี้นี้มีผู้สำเร็จการศึกษาเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จำนวน 1,860 คน


"บูม" กิจกรรมสำหรับระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง
       


วันแห่งความสำเร็จบัณฑิตใหม่ มฟล.
       


       ในการนี้นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทูลเกล้าถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในสาขาวิชาภาษาจีน ตามมติสภามหาวิทยาลัยฯ ด้วยพระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทางด้านภาษาจีน และทรงใช้ความรอบรู้นั้นเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันมั่งคงระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทย-จีน และวงวิชาการอย่างกว้างขวาง


ภาพแห่งความทรงจำลูกสมเด็จย่า
       


       


เรียนจบแล้ว
       รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) กล่าวว่า สภามหาวิทยาลัยฯ ยังมีมติมอบปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ คือ นายประมนต์ สุธีวงศ์ สาขาบริหารธุรกิจ, นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ สาขาสังคมศาสตร์ และ นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ สาขานิติศาสตร์ และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติตุงทองคำ แด่ รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง และเข็มเกียรติคุณผู้สนับสนุนการก่อตั้งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้แก่ นายไกรสร จันศิริ, นายจูน วนวิทย์, นายชัย โสภณพนิช, นายประเสริฐ พุ่งกุมาร, นายสงคราม ชีวประวัติดำรงค์, นายสุเมธ ตันธุวนิตย์ และนายสันติ ภิรมย์ภักดี ทั้งยังมีบัณฑิตได้รับเหรียญรางวัลเกียรติยศผลการเรียนดีเด่นจำนวน 19 ราย
      
       สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในปีนี้จำนวน 1,860 คน มีผู้สำเร็จการศึกษาจากสาขาธุรกิจการบิน ซึ่งเป็นบัณฑิตรุ่นแรกของสาขาวิชาดังกล่าว พร้อมก้าวสู่ตลาดงานด้านธุรกิจแอร์ไลน์ที่ต้องการกำลังคน จากการขยายตัวของสายการบินต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสาขาวิชาภาษาจีน (ปริญญาตรีใบที่ 2) และสาขาวิชาเทคโนโลยีความงาม ที่มีผู้สำเร็จการศึกษาเป็นรุ่นแรก


       


       


       ในโอกาสนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราโชวาทความว่า “ความเจริญมั่นคงของสังคมและชาติบ้านเมือง ย่อมเกิดจากปัจจัยหลายอย่างประกอบส่งเสริมกัน แต่ปัจจัยสำคัญที่สุด คือทรัพยากรบุคคลที่ดีมีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศจึงจำเป็น ต้องพัฒนาทรัพยากรบุคคล ให้มีความรู้ในหลักวิชา และมีความสามารถที่จะนำความรู้ไปปรับใช้ในกิจการงาน ตลอดจนสามารถดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างผาสุกราบรื่น บัณฑิตที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าของชาติบ้านเมือง เพราะทุกคน ได้ผ่านการศึกษาอบรมมาด้วยดีแล้วทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ทางตรง คือการเล่าเรียนจาก ครูอาจารย์และศึกษาจากตำรับตำราต่างๆ ส่วนทางอ้อม คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นทั้งในมหาวิทยาลัยและในชุมชน หากแต่ละคนจะได้ตั้งใจพยายาม นำความรู้ที่ได้รับจาก การศึกษาเรียนรู้ทั้งนี้ ไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงาน ก็มั่นใจได้ว่า บ้านเมืองเราจะมีความผาสุกมั่นคงและเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นตลอดไป” 
      
       
      
       

ไม่มีความคิดเห็น: