วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

5 คุณลักษณะของคนที่ไม่ควรเรียนหมอ

  "อยากเป็น .. หมอตา หมอฟัน หมอเด็ก หมอศัลย์ หมอผิวหนัง หมอหัวใจ หมอสมอง บลา ๆๆ"
       หลังจากที่ได้ดูโฆษณาตัวใหม่ของเครื่องดื่มบำรุงสมองยี่ห้อเดิม ก็ได้แต่รู้สึกเพลียอยู่ลึก ๆ
       'คราวนี้มันหลายหมอเหลือเกิน แล้วยัย 2 เปียที่พูดอยากเป็นหมอคราวก่อน ได้เป็นเปล่าเนี่ยย ?!'
       เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ อยากเป็นหมอตา หมอเด็ก หมอศัลย์ หมอห่าหมอเหวอะไร ก็ต้องเข้ามาเรียนหมอให้ได้ก่อน แต่ถึงเข้ามาได้แล้วก็ใช่ว่าจะได้เป็นหมอไปซะทุกคน เรามาลองดูกันดีกว่าว่า "ตัวเราเองนั้นเหมาะจะเรียนหมอรึเปล่า ??"
       5 คุณลักษณะของคนที่ไม่ควรเรียนหมอ (อ่านเสร็จก็บอกด้วยนะว่าโดนกันไปกี่ข้อ ฮ่า ๆๆ)
       1. ขี้เกียจ
       คุณลักษณะแรกที่สำคัญที่สุดในการเรียนแพทย์ คือ "ต้องขยันหมั่นเพียร ห้ามขี้เกียจเป็นอันขาดด !!" เพราะถ้าเป็นคนขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นขี้เกียจอ่านหนังสือ ขี้เกียจตื่นเช้าไปเรียน ขี้เกียจเปิดเน็ตหาความรู้เพิ่มเติม บอกตรง ๆ ว่าไปไม่รอดชัวร์ ยิ่ง "ขี้เกียจอ่านหนังสือ" เนี่ยตัวดีเลย เพราะจะต้องพบกับความเครียดเมื่อเจอพวกหัวกะทิปล่อยแสงใส่ ดังตัวอย่างด้านล่างง ..
       "เฮ้ยย !! Amoxicillin ใช้รักษาอะไรบ้าง ไปอ่านมารึยังง ??" เพชรแกล้งถามลองภูมิ
       "อ๋ออ .. อ่านมาแล้ว ๆ มันใช้รักษาเชื้อแกรมบวกพวก Streptococcus spp. นอกจากนั้นยังรักษาแกรมลบอย่างพวก E. coli ก็ได้นะ แล้วก็ใช้กับ Ear Nose Throat infection, คนเป็น Endocaditis มาทำฟัน, UTI ในคนท้อง แล้วก็ H. pylori แต่ต้องใช้ร่วมกับ Clarithromycin ด้วยนะ มันไม่รบกวนการดูดซึม จะกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แต่ถ้าเป็น Ampicillin จะรบกวน ต้องกินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง หรือถ้าลืมกินก็กินหลังอาหาร 2 ชั่วโมงก็ได้ บลา ๆๆ (ที่จริงยังมีต่ออีกเยอะ)" ขวัญปล่อยลำแสงอย่างเต็มภาคภูมิ สร้างความตึงเครียดให้แก่ฝูงชนโดยรอบ
       คนตอบไม่ได้ก็ได้แต่คิดในใจ 'แม่มแดกชีทมารึไงวะ ?!' (ก็ไม่ได้อะไรมากหรอกก .. แต่แม่มถามกันข้ามหัวกุ !!)
       (* หมายเหตุ ใครที่ไม่เข้าใจศัพท์คำว่า "ปล่อยแสง" ให้กลับไปอ่านภาคผนวกเอ็นทรี่ นักเรียนมัธยม กับ นักศึกษามหา'ลัย)
       แต่ก็ไม่ใช่ว่านักศึกษาแพทย์จะชอบปล่อยแสงไปหมดซะทุกคน คนที่ไม่ชอบปล่อยก็จะไม่ยิงความรู้ใส่คนอื่นให้เดือดร้อน แต่คนที่ชอบปล่อยนี่ถามไป 1 อย่าง ตอบกลับมาสัก 5 อย่าง เคยสัมภาษณ์มาคนนึงนะ เธอบอกรู้สึกดีที่ได้ปล่อยแสง เพราะจะรู้สึก WIN ทุกครั้งที่เพื่อนทำหน้างง (กุเนี่ยแหละคนนึงที่โดนมัน WIN)
       ส่วนตัวคิดว่าคงมีไม่กี่คนที่โดนข้อนี้ เพราะกว่าจะสอบติดหมอมาได้ก็ต้องขยันกันพอตัวแหละ ไม่ใช่หวังพึ่งแต่เครื่องดื่มบำรุงสมอง ที่ชอบโฆษณา "อยากเป็นหมอ ๆ" ดื่มไปวันละ 3 ลัง ก็ไม่ได้ทำให้ติดหมอหรอกนะ นี่บอกไว้เลย เอิ้ก ๆ 
       2. ปรับตัวไม่ได้
       คุณลักษณะที่จำเป็นข้อต่อมา คือ "ต้องปรับตัวให้ได้ เพราะมันไม่เหมือนตอน ม.ปลาย" จาก ม.6 สู่ ปี 1 ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานที่ เพื่อน การเรียน ฯลฯ ดังตัวอย่างด้านล่างง ..
  • จากที่เป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียน คอยรังแกรุ่นน้อง ก็กลายมาเป็นน้องเล็กในมหา'ลัย คอยถูกรุ่นพี่ข่มเหง
  • จากที่เลิกเรียนตอน 4 โมงเย็นแล้วกลับบ้าน ก็เปลี่ยนไปเป็นเลิกเรียนตอน 5 โมงเย็นแล้วทำกิจกรรมต่อถึง 3 ทุ่ม
  • จากที่เคยดูการ์ตูนแล้วนอนตอน 4 ทุ่ม ก็ต้องมานั่งอ่านหนังสือแล้วนอนตอนตี 1
  • จากที่อ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนวันสอบ 1 วัน ก็ต้องมานั่งอ่านทุกวัน (เพราะเพื่อนมันปล่อยแสงแบบ Unlimited !!)
       หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ก็ต้องปรับตัวตามให้ได้ ถ้าปรับไม่ได้ก็จะต้องทนอยู่แบบนั้นอย่างไม่มีความสุข สุดท้ายก็ต้องซิ่วหาที่เรียนใหม่ นี่ยังไม่ได้พูดถึงตอนขึ้นคลินิกไปแล้วนะ หนักกว่านี้อีกหลายขุมเลยย !! การปรับตัวอาจจะไม่ได้จำเป็นเฉพาะคนที่อยากเป็นหมอ คนที่อยากเป็นวิศวะ ครู ฯลฯ ก็คงต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน
       ส่วนตัวคิดว่าคนที่โดนข้อนี้จะลำบากกว่าคนที่โดนข้อแรก เพราะถึงจะขี้เกียจ แต่ถ้าปรับตัวได้ก็จะกลายเป็นคนขยันอย่างไม่รู้ตัว (รวมถึงตัวข้าพเจ้าเองด้วย แต่ก็ยังขี้เกียจอยู่เหมือนเดิมแหละ ฮ่า ๆๆ)
       3. ไม่มีน้ำใจ
       คุณลักษณะข้อนี้ไม่ได้มีผลต่อการเรียนเท่าไหร่หรอกก .. แต่มีผลต่อเพื่อนในคณะมากก !! คณะแพทยศาสตร์ นอกจากจะเรียนหนักแล้ว กิจกรรมยังเยอะอีกต่างหาก แน่นอนว่าทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันทำให้มันเสร็จ ๆ ไม่ใช่ว่าคนไหนที่ช่วยก็ทำ ๆๆๆ จนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ คนไหนที่ไม่ช่วยก็อ่านหนังสืออยู่หอบ้าง นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบ้าง บ่นในเฟซบุ๊คบ้าง จนโดนเพื่อน ๆ ในคณะเอาไปนินทาลับหลัง ดังตัวอย่างด้านล่างง ..
       "แกก !! วันนั้นน่ะที่ปั่นปั๊นนัดคุยงานรับน้อง เราเห็นเฮอร์ไมโอนี่วิ่งออกไปพร้อมแฮรี่กับรอน" มาดามเริ่มเปิดประเด็นนินทา
       "มันหนีออกไปได้ไงอ่ะ หยกก็ยืนกักอยู่หน้าห้องแล้วนี่" ผู้ร่วมนินทาถามขึ้น
       คนเปิดประเด็นรีบตอบทันที "ก็มันหนีไปตรงทางหนีไฟ เราก็วิ่งตามมันไปนะ แต่มันล็อคประตูอ่ะ"
       หลังจากนั้นทั้ง 2 คนก็นินทากันต่ออย่างดุ เด็ด เผ็ด มันส์ !!
       (*หมายเหตุ เฮอร์ไมโอนี่ แฮรี่ และรอน เป็นเพียงนามสมมติ)
       จะมีคนแบบนี้ในคณะบ้างมันก็ไม่ได้แปลกหรอก เพราะโลกของเรามันคงไม่ได้สวยงามอย่างที่วาดฝันไว้ อย่างน้อยก็มาช่วยงานให้พอเห็นหน้าเห็นตา ไม่ใช่หายเงียบจนได้รับตำแหน่ง Rare ประจำคณะ (บางครั้งก็งงว่ามีคนหน้าตาแบบนี้อยู่ในคณะเราด้วยหรอ)
       ส่วนตัวคิดว่าคนที่โดนข้อนี้ไม่น่ามีอยู่ในคณะแพทยศาสตร์เลยย .. เพราะหน้าที่ของวิชาชีพแพทย์ก็คือ "ช่วยเหลือผู้อื่น" แม้แต่คนเป็นเพื่อนกันยังไม่มีน้ำใจช่วย แล้วคนอื่นที่เดินเข้าโรงพยาบาลมาจะไปเหลืออะไรล่ะ ??
       4. ไม่ให้ความร่วมมือ
       คุณลักษณะข้อนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเรียนเหมือนกันน .. แต่ส่งผลต่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ เภสัช เทคนิค หรือ พยาบาล ต่างก็ต้องทำงานร่วมกัน จะทำอยู่คนเดียวมันไม่ได้ แต่ก่อนจะทำงานร่วมกับเพื่อนต่างคณะ ก็ต้องทำงานร่วมกับเพื่อนคณะตัวเองให้รอดก่อน ดังตัวอย่างด้านล่างง ..
       (เหตุการณ์สมมติ)
       "เพื่อน ๆ อาจารย์ผิวพรรณให้ส่งวิธีป้องกันพยาธิอ่ะ" หนึ่งในสมาชิกสมอลกรุ๊ปคนหนึ่งโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊ค
       เงียบบ .. (Seen by 2)
       "งั้นเราเอาเป็น OV แล้วกันเนอะ จะป้องกันยังไงดีล่ะ" สมาชิกคนเดิมคอมเมนต์ตอบโพสต์ตัวเอง
       เงียบบ .. (2 Likes, Seen by 5)
       "เอาเป็นอย่างนี้ ๆๆ แล้วกันนะ" สุดท้ายก็ทำคนเดียวจนเสร็จ ส่งเข้าอีเมลอาจารย์เรียบร้อย
       เงียบบ .. (6 Likes, Seen by everyone)
       (* หมายเหตุ การเรียนสมอลกรุ๊ป คือ การเรียนแบบกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มละ 8-9 คน)
       เอิ่มม .. ถ้าคนส่วนน้อยไม่ให้ความร่วมมือก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันทั้งกลุ่มเลยย !! แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากอยู่กลุ่มเดียวกันกับบุคคลประเภทนี้สักเท่าไหร่หรอก แต่บางทีคนเรามันก็ต้องมีขี้เกียจกันบ้างแหละเนอะ เอิ้ก ๆ
       ส่วนตัวคิดว่าคนที่โดนข้อนี้ไม่น่ามีอยู่ในคณะแพทยศาสตร์เลยย .. เพราะหน้าที่ของวิชาชีพแพทย์ก็คือ "ช่วยเหลือผู้อื่น" แม้แต่คนเป็นเพื่อนกันยังไม่ให้ความร่วมมือ แล้วคนอื่นที่เดินเข้าโรงพยาบาลมาจะไปเหลืออะไรล่ะ ?? (เฮ้ยย !! เมิงก็อปข้อข้างบนลงมานี่)
       5. ไม่มีใจรัก
       คุณลักษณะข้อนี้ส่งผลต่อทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การทำงาน จะเห็นได้ว่าก่อนที่จะเข้ามาเรียนหมอ ทุกคนต้องผ่านการสัมภาษณ์ด้วยคำถามสุดคลาสสิค "ทำไมถึงอยากเป็นหมออ ??" ดังตัวอย่างด้านล่างง ..
       "ทำไมถึงอยากเป็นหมอล่ะครับ ?" กรรมการสัมภาษณ์เอ่ยถามเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน
       "ผมอยากใช้ความสามารถของผมให้เต็มที่ในการช่วยเหลือสังคมครับ" คนถูกถามตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
       เด็กหนุ่มนั่งยิ้มพลางคิดในใจ 'ด้วยคำตอบนี้แหละ กุติดหมอแน่ !! ฮะฮ่า'
       นอกจากนี้ยังมีคำตอบอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำตอบสุดคลาสสิค "อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ" คำตอบแบบพาไปที "พ่ออยากให้เรียนครับ" คำตอบแบบไม่รู้จะตอบอะไร "หนูชอบเรียนชีวะค่ะ" ส่วนจะผ่านสัมภาษณ์หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องนึง
       ส่วนตัวคิดว่าคงมีหลายคนแหละที่โดนข้อนี้ เพราะเท่าที่ถาม ๆ มาในคณะ คำตอบส่วนใหญ่คือ "มันสอบติดอ่ะ ก็เลยเอาเลย" แต่อย่าเพิ่งคิดนะว่า 'ไม่เห็นจะมีใจรักสักคน แล้วพวกนี้มันจะรอดมั้ยเนี่ยย ?! มันจะเป็นหมอที่ดีกันได้ยังไงง ?!' บางครั้งการที่คนเราจะรักอะไรบางอย่าง ก็ต้องลองทำมันดูก่อน
       คำพูดทิ้งท้าย: มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะโดนไปกี่ข้อ ตราบเท่าที่เราอยากเป็นหมอ อยากช่วยเหลือคนอื่น เท่านี้ก็พอแล้วที่จะเข้ามาเรียนในคณะแพทยศาสตร์ (ส่วนจะไปรอดหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องนึง)
       ป.ล. ที่จริงควรจะเป็น "ล้านแปดคุณลักษณะของคนที่ไม่ควรเรียนหมออ !!" เพราะยังมีมากกว่านี้อีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความสุขุมรอบคอบ ฯลฯ แต่ยกข้อเด่น ๆ มาแค่ 5 ข้อ (แค่นี้ก็ยาวเป็นพรืดแล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น: