และแล้วก็ล่วงเลยมาวันที่สองของการรายงานตัว...
ในวันนี้สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือ
"การตรวจสุขภาพจิต" ค่ะะะ
ฟังดูน่าหวั่นใจไหมจ๊ะ ? ฮ่า ๆๆ
ในวันตรวจสุขภาพจิตทางมหาลัยนัดให้มาบ่ายโมงค่ะ
พี่ก็ไปถึงประมาณเวลาพอดี จากนั้นรุ่นพี่ก็พาพี่ไปห้องรวมค่ะ
น่าจะเป็นห้องเลกเชอร์ขนาดประมาณ 70-80 คนได้
จากนั้นรุ่นพี่ก็พูดโม้นันทนาการไปเรื่อย ๆ
สักพักก็จะมีคนมาประกาศเรียกชื่อนักเรียนให้ออกไปตรวจสุขภาพจิตค่ะ
เค้าจะมาเรียกทีละคนสองคน เหมือนเรียกนำไปเชือดเลยอ่ะ
แล้วก็ถึงตาพี่ที่โดนประกาศชื่อให้ไปตรวจสุขภาพจิต
พอพี่ออกมาจากห้องก็พบว่าบรรยากาศข้างนอกแตกต่างกับข้างในอย่างสิ้นเชิง
ข้างใน เฮฮาร่าเริงปนกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ
ส่วนข้างนอก .. เงียบ .. กริบ ...
เค้าจะพาเรามายังทางเดินยาว ๆ แล้วมีห้องหลายห้องเรียงเป็นตับ
แต่ละห้องจะมีป้ายชื่ออาจารย์แพทย์เขียนอยู่
ของห้องพี่เป็น อ.พญ. ค่ะ >O<
มีเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าห้อง ให้เรานั่งรอจนกว่าคนข้างในจะออกมา
ใจจริงพี่เฉย ๆ นะกับการตรวจสุขภาพจิต
แต่บรรยากาศกลับพากดดันจริงจังอะ มองไปห้องทางซ้ายเค้าก็นั่งก้มหน้าเครียดรอตรวจ
มองไปทางขวาก็อาการเดียวกันอะ แบบว่า... =O=
แต่พี่ก็ยังเฉย ๆ นะ
และแล้วคนข้างในห้องพี่ก็ออกมาค่ะ
พี่ก็ลุกจากเก้าอี้ เคาะประตูขออนุญาตทีนึงก่อนจะเข้าห้อง
อ่อ เค้าค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับการเคาะประตูก่อนเข้าห้องนะคะ
เป็นมารยาทอันงดงามเนอะ :')
พอพี่เข้าไป พี่ถึงรู้ว่าการตรวจสุขภาพจิต(ของมหาลัยพี่)นั้น
ก็คือการเข้าไปคุยกับอาจารย์แพทย์เพียงท่านเดียว ตัวต่อตัวนั่นเอง
พี่ไม่แน่ใจนะ แต่คาดว่าน่าจะเป็น จิตแพทย์
เนื่องจากอาจารย์แพทย์ของพี่เป็นผู้หญิง
พี่ก็คาดหวังแบบตอนที่เจออาจารย์แพทย์ครั้งแรกน่ะแหละ
ว่าน่าจะเป็นอาจารย์ผู้หญิงมีอายุ ดัดผมฟู ๆ สั้น ๆ น่ารักใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส
ซึ่งก็เป็นแค่ความคาดหวังน่ะนะ
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่พี่พบก็คือ
อาจารย์แพทย์ผู้หญิง อายุน่าจะประมาณสามสิบต้น ๆ
ผมยาวดัด แต่งหน้าอ่อน ๆ และหน้าเหมือนนุสบา ปุณณกันต์เลยยยย
ก็คือสวยม๊ากมากกก (อีกแล้ว) ๕๕๕๕๕ ปล.พี่บ้าดาราเก่า ๆ น่ะค่ะ >__<
หลังจากตะลึงกับความงามของผู้สัมภาษณ์แล้ว
พี่ก็วางกระเป๋าของพี่ไว้ข้าง ๆ แล้วก็นั่งบนเก้าอี้
บรรยากาศเริ่มเงียบ อาจารย์พลิกดูเอกสาร(ซึ่งน่าจะเป็นของพี่)เปิดผ่าน ๆ
แล้วก็สะดุดหยุดมองอะไรสักอย่างบนเอกสาร
"เลือกพระมงกุฎไว้อันดับสี่หรอ แปลกนะ ไม่ค่อยเห็นใครเลือกพระมงกุฎเท่าไหร่
ไหนลองบอกเหตุผลหน่อยว่าทำไมถึงเลือกพระมงกุฎ"
พี่ก็อึ้งไป ไม่คิดว่านี่น่าจะนำมาเป็นคำถามได้
พี่ก็ตอบไปว่าพี่เป็นคนชอบเครื่องแบบ โดยเฉพาะทหาร
ซึ่งพี่ทราบดีว่าการเป็นแพทย์ทหารนั้นต้องฝึกหนักและเรียนหนักมากแค่ไหน
แต่พี่ก็ชอบมาก ๆ และสนใจคณะแพทย์ที่นั่น
อาจารย์เค้าก็ถามว่า อ่าว งั้นมาติดคณะแพทย์ที่นี่ เราไม่มีเครื่องแบบให้ใส่นะ
จากนั้นก็บลา ๆ เถียงกันเรื่องเครื่องแบบนี่ละ ๕๕๕๕๕
แต่สุดท้ายก็ลงเอยว่า สำหรับพี่ แม้จะชอบเครื่องแบบมาก แต่ถ้าไม่ได้ใส่พี่ก็ไม่มีปัญหาและไม่เสียใจเลย
ระหว่างสัมภาษณ์พี่รู้สึกว่าอาจารย์จะมองพี่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์มาก เหมือนสแกนตัวพี่เลย
จากที่เฉย ๆ ก็กลับทำให้พี่รู้สึกกดดันหน่อย ๆ
จากนั้นอาจารย์เค้าก็ถามเรื่องเกรดเฉลี่ย และถามเรื่องถ้าเรียนหนักจะเรียนไหวไหม
มาถึงประเด็นที่พี่ฟังแล้วรู้สึกหวิวในใจ
อาจารย์ถามพี่ว่า ทำไมถึงอยากเป็นหมอ
พี่ตอบว่า เพราะพี่อยากจะทำอาชีพที่อุทิศตัวให้ผู้อื่น อยากจะเป็นหมอที่ดีที่ใส่ใจถึงจิตใจคนไข้
เป็นหมอที่จิตใจดี ไม่ใช่หมอที่เย็นชาต่อคนไข้ พูดจาห้วน ๆ แล้วก็จากไป ทิ้งให้คนไข้รู้สึกแย่ ๆ อยู่ฝ่ายเดียว
อาจารย์หมอนิ่งไป แล้วบอกพี่ว่า
ไม่คิดมั่งหรอ ว่าก่อนที่หมอหลายคนจะเป็นแบบที่หนูบอกนั้น
เค้าก็เคยคิดแบบหนูมาก่อน เคยตั้งใจจะเป็นคนแบบที่หนูบอก
แต่เพราะเค้าผ่านอะไรมามาก หลายอย่างก็ทำให้เค้ากลายเป็นหมอแบบนั้น
ตอนนี้หนูยังเด็กมากหนูยังต้องเจออะไรอีกเยอะ สิ่งที่หนูตั้งใจก็เป็นแค่ความตั้งใจในวัยนี้เท่านั้น
ในอนาคตถ้าหนูเป็นหมอที่เย็นชาแบบที่หนูบอก หนูจะทำยังไง
พี่ก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า
หนูเป็นคนให้ความสำคัญในคำพูดของหนูมาก แม้ว่าตอนนี้หนูจะมีแค่ความตั้งใจกับคำพูดลอย ๆ
ที่ตัวหนูเองยังรับประกันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอีกหน่อยหนูจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่
แต่หนูก็ให้ความสำคัญกับมันอย่างเต็มที่ และจะตั้งใจเป็นหมอที่ดีแบบที่หนูฝันค่ะ
อาจารย์ก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า โอเคค่ะ สัมภาษณ์เสร็จแล้ว เรียกคนต่อไปมาเลย ...
อ้อ บอกเค้าให้เคาะประตูด้วยนะ
คำพูดของอาจารย์เค้ามันทำเอาพี่กลับไปคิดนะ...
และก็คิดอยู่หลายวันเลยเหมือนกัน เพราะมันจริง จริงมาก ๆ
อย่างที่พี่บอก แม้ว่าพี่จะให้ความสำคัญกับคำพูดตัวเองมาก
แต่พี่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ ว่าวันใดวันหนึ่งพี่จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
เป็นเรื่องของอนาคตสินะ ;')
และแล้วก็ จบไปกับวันที่สองกับการตรวจสุขภาพจิต ^O^
_______________________________________________________________
มาถึงวันสุดท้ายกับ
การสอบสัมภาษณ์
ซึ่งถ้าน้องเจอการตรวจสุขภาพจิตมาแล้ว
การสอบสัมภาษณ์นับว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลยค่ะ
แต่ก็นั่นแหละ หลาย ๆ คนก็กลัวการสอบสัมภาษณ์มาก ๆ
กลัวไม่ผ่าน กลัวโหด กลัวถามกดดัน กลัวออกมาร้องไห้มั่งอะไรมั่ง
ก็ว่ากันปายยย......
สำหรับพี่ก็เฉย ๆ นะ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเมพขิงอะไรหรอก
แต่รุ่นพี่เค้าบอกมาว่า "ถ้าน้องไม่บ้า ก็ผ่านทุกคนอยู่แล้ว"
พี่คิดว่าจริงเพราะที่อื่นก็พูดแบบนี้ เลยทำให้พี่รู้สึกสบาย ๆ สำหรับการสอบสัมภาษณ์
เพราะพี่ว่าพี่ไม่น่าบ้านะ เหรอ ? ก๊ากกก ก
ณ วันสอบสัมภาษณ์ทางมหาลัยนัดมาแปดโมงตรงค่ะ
นัดมาห้องเดียวกับที่มีการสอบบุคลิกภาพซึ่งก็เป็นห้องโถงใหญ่ ๆ มีเก้าอี้เยอะ ๆ เช่นเคยย
เหมือนกับการตรวจสุขภาพจิตก็คือจะให้นักเรียนรอให้ห้องโถงใหญ่ ๆ นี่ก่อน
แล้วจะมีรุ่นพี่มานันทนาการ ให้เราได้ยิ้มได้หัวเราะกัน
จากนั้นก็จะมีคนมาประกาศชื่อผู้ที่จะต้องไปสอบสัมภาษณ์ค่ะ
แต่คราวนี้จะประกาศทีละแปดคน ไม่ใช่ทีละคนสองคนแบบตอนตรวจสุขภาพจิต
อิอิอิ ซึ่งพี่ได้ออกไปเป็นกรุ๊บแรกเลยอ่า =O= เวรกรรม
เค้าก็พาพี่ไปนั่งรอหน้าห้องซึ่งก็เป็นเก้าอี้ตัวเดียวเหมือนตอนตรวจสุขภาพจิต
แต่คราวนี้ห้องที่เข้าไปสัมภาษณ์มันจะมีสองฝั่ง ไม่ได้เรียงเป็นตับฝั่งเดียวเหมือนตอนแรก
ระหว่างรอเข้าห้องก็เลยได้สบตาปิ๊งๆๆๆ กับคนที่จะสอบสัมภาษณ์ห้องตรงข้ามค่ะ
เค้าก็ปิ๊งๆๆวิ้งๆๆ กลับมาเหมือนกัน ๕๕๕๕๕
แปบเดียวก็มีคนมาบอกว่าให้เข้าห้องสัมภาษณ์ได้เลย
อ่อ เคาะประตูด้วยนะคะ
..
พี่ก็เคาะสองสามที ค่อยๆแง้มประตู
แล้วก็ยิ้มแป้นแล้นให้อาจารย์สองท่านที่จะสัมภาษณ์ค่ะ
อ่อเป็นอาจารย์แพทย์ทั้งสองท่านค่ะ
คราวนี้แหละ อาจารย์แพทย์ในอุดมคติของจริง 555555
มีอายุนิดนึง เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ดูใจดีน่ารัก ตัวท้วมๆหน่อย นั่นแหละค่ะ
พี่ก็ยิ้มมมมมม ไว้ก่อน ยกมือไหว้อาจารย์ วางกระเป๋าแล้วก็นั่งลงค่ะ
อาจารย์ทั้งสองก็เหมือนจะยังงง ๆ กันอยู่เพราะพี่เป็นผู้สัมภาษณ์คนแรกค่ะ
เค้าก็พลิกเอกสารแล้วมองหน้ากันงง ๆ ๕๕๕๕๕
จากนั้นเค้าก็เริ่มยิงคำถามค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่คล้าย ๆ คำถามของการตรวจสุขภาพจิต
แต่บรรยากาศผ่อนคลายกว่าเยอะ อาจเพราะว่าอาจารย์แพทย์ของพี่ทั้งสองท่านดูอารมณ์ดีสบาย ๆ ด้วย
จะมีบางคำถามแรง ๆ หน่อยอย่าง คิดว่าจะเรียนไหวหรอ หมอเรียนหนักนะ
แต่เผอิญตอนนั้นพี่ไม่ได้คิดตามคำถามเท่าไหร่ว่ามันจะถามเพื่อให้เรากดดันป่าว
พี่ก็เลยตอบแบบไม่คิดอะไรไปว่า เรียนไม่ไหวก็ต้องเรียนให้ไหวอะค่ะ ก็ขยันกันไปนะคะ ฮ่าๆๆๆ
แล้วพี่ก็ขำค่ะ เอออ -_-" นะ
คือสมัยม.ปลาย พี่เป็นคนที่แบบ คะแนนสูงสุดในห้องก็เคยมาแล้ว อันดับสุดท้ายก็เคยมาแล้ว
กลาง ๆ ก็เคยมาแล้ว พี่เลยมีภูมิต้านทานต่อคำดูถูกพรรค์นี้มากอะ
ไม่เชิงภูมิต้านทาน เรียกว่าไม่สนใจจะดีกว่า ใครว่าพี่โง่ก้พี่ก็เฉย ๆ น่ะ ประมาณนั้น
แล้วอาจารย์เค้าก็จะถามพวกว่าดูข่าวมั่งป่าว ข่าวตอนนี้มีไรมั่ง
คือตอนนั้นมันมีข่าวอียิปต์ประท้วงป้ะ พี่ก็บอกข่าวที่อียิปต์ค่ะ
ข่าวที่เด็กขับรถชนคนเสียชีวิตไปเกือบสิบคนเมื่อปลายปีค่ะ
แล้วเค้าก็บอก
ข่าวเก่าไปแล้วม้าง อียิปต์นะมันตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้มันมีใหม่กว่านั้นอีก
(ซึ่งตอนหลังพี่ถึงรู้ว่าเค้าจะพูดถึงการจลาจลในลิเบีย แง๊วว)
พี่ก็เอ่ออ... ข่าวอะไรดีอะค่ะ นี่ก็ใหม่แล้วนะคะ แล้วพี่ก็ยิ้ม
เค้าก็ถาม แม่ไม่ได้ทำกับข้าวมั่งหรอ (?)
พี่ก็(?) หา อะไรนะคะ ก็ไม่ค่อยได้ทำน่ะค่ะ
เค้าก็อืม..เหรอ..
(ซึ่งพี่ไปรู้ตอนหลังเหมือนกันว่าเค้าจะพูดถึงข่าวราคาน้ำมันปาล์มตกหรือขึ้นเนี่ยแหละ ๕๕๕๕๕)
ก็คือช่วงใกล้สัมภาษณ์น่ะน้อง ๆ ก็ไปอัพเดตข่าวสารให้ทันโลกบ้างอะไรบ้างนะ ฮ่าๆ
ปกติพี่ดูทีวีพี่ก็ดูละครเป็นส่วนใหญ่อะ ยิ่งช่วงสอบหมอเสร็จยิ่งไม่อยากรู้ข่าวอะไรเลย
จากนั้นเค้าก็ถามว่าเคร่งศาสนาป่าว
หืม..เคร่งศาสนาหรอคะ..?
ใช่
ไม่ได้เคร่งมากอะค่ะ
เค้าบอกว่า เพราะอีกหน่อยหนูจะต้องฆ่าสัตว์หลายอย่าง อะอย่างฆ่ากระต่าย
ฆ่าหนู ฆ่านก บลาๆๆ แล้วถ้าหนูเคร่งศาสนามันจะมีปัญหา เพราะมันเคยมีคนที่เรียนแพทย์ถึงปีสอง
แล้วมันต้องฆ่าสัตว์เพื่อผ่าดู แต่เค้าไม่ยอมฆ่า มันทำให้เค้าไม่สามารถจบปีสองได้
และสุดท้ายต้องย้ายไปเรียนคณะอื่นกันเลยทีเดียว
พี่ก็ อ๋ออ โหห ท่าทางเค้าจะซีเรียสมากเลยนะคะ
ก็ว่ากันไป ๕๕๕๕๕ พี่ก็กวนตรีนหน่อย ๆ อะนะ
จากนั้นเค้าก็ถามเรื่องอยู่หอ เรื่องที่บ้าน เรื่องนิสัยส่วนตัว
ซึ่งพี่ว่าไม่ค่อยมีอะไร บวกกับพี่เป็นคนตรง ๆ ไม่ค่อยตกแต่งคำพูดให้สวยหรูมากนัก
เค้าก็เลยสัมภาษณ์ไม่นานมากน่ะ
เพราะพี่ได้ยินมาว่าคนที่ใช้คำพูดสวยหรูหรือพยายามเมคตัวเองขึ้นมาให้ดูเป็นคนใหม่นั้น
จะโดนสอบสัมภาษณ์นานจนกว่าจะแสดงความเป็นตัวเองออกมา
สักพักพี่ก็ออกมา
พร้อมกับยิ้มกับตัวเอง
"เสร็จแล้ววววววว^O^"
credit:dek-d
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น