หลังจากชั่งใจอยู่นานพอสมควรว่าจะเริ่มส่งเอนทรี่วันนี้เลยรึเปล่า คิดแล้วก็คิดอีก เพราะกำลังอ่านหนังสือสอบอยู่ด้วย(ดูมัน สอบพรุ่งนี้ยังมานั่งอัพบล้อค) แต่จนแล้วจนรอดก็คันไม้คนมืออยากจะประเิดิมบทความบทแรกในชีวิต(ฮูเรรรร~~~~) เอาก็เอาวะ เขียนมันเลยละกัน หนังสือสอบไม่ต้องอ่านมันแล้ว(หาข้ออ้างล่ะสิเมิง)
ก่อนอื่นก็ต้องมาแนะนำตัวกันก่อน เป็นคนไทยไม่ทักทายปราศรัยกันก่อนคงดูมารยาทไม่งามสักเท่าไหร่ ณ ที่นี้ผมขอแทนตัวเองว่า จขบ.ละกัน หรือชื่อเต็มมันก็ เจ้าของบล้อคนั่นแหละ ยืมลิขสิทธิ์ จขกท. มา หวังว่าคงไม่ฟ้องกันที่หลังนะ = ='
ถ้าให้พูดถึงเด็กไทยในสมัยนี้ หากไม่นับปัญหาแว๊นบอย สก๊อยเกิร์ล หรือพวกท้องไม่มีพ่อ และพฤติกรรมอันน่าสรรเสริญอื่นๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเรียนกระมัง ก็นะ จขบ.(เจ้าของบล้อค จำไว้ ให้ชินๆ) เคยได้ยินมาว่าเด็กไทยน่ะอ่านหนังสือปีละไม่ถึงหนึ่งหน้า(คืออันที่จริงมันไ่ม่ถึงกี่บรรทัดก็ไม่รู้ แต่ จขบ.ลืมแล้ว เลยไม่อยากประมาณส่งเดช ก็หยวนๆน่ะ) แต่เมื่อปีที่แล้ว จขบ. ได้ยินมาว่าเด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อปี !!!!
ได้ยินแ้ล้วอยากจะร้องOh Yeah! ออกมาดังๆ นี่ถ้านับสถิติเด็กไทยใช้เวลาเปิดเว็บโป๊เฉลี่ยกี่ชั่วโมงต่อปี คงได้โล่ชนิดกินเนสบุ๊คต้องบันทึกกันไม่ทันเลยทีเดียว คราวนี้ก็ร้อนก้นผู้หลักผู้ใหญ่(ทุกทีล่ะ เวลาเป็นข่าวอ่ะ) ต้องออกมาตรการกันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันอย่าง แต่จนแล้วจนรอดมันก็มาลงอิหรอบเดิม
ถ้าถามว่าทำไมสถิติการอ่านหนังสือของเด็กไทยเหตุอันใดมันน่าสมเพชขนาดนี้ ดูจะมีหลักใหญ่ใจความเลยก็คือ
เด็กไทยยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการเรียนหนังสือที่แท้จริง น่ะสิ
ก็ในเมื่อไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม เรียนแล้วได้อะไร ก็เลยไม่เรียน ไม่สนใจมันเลยดีกว่า เข้าสโลแกน
เรียนไปก็ปวดหัว หา(ตื้ดๆ)ดีกว่า ตามฉบับหนูน้อยตาดำๆ ผู้ที่การหา(ตื๊ดๆ)คือเป้าหมายหลักในชีวิต
แล้วอะไรล่ะ? ที่มันทำให้เด็กไทยไม่เข้าใจจุดประสงค์หลักของการเรียน หากจะให้สาธยายออกมาหมด ก็คงต้องเกรงใจคุณพี่เว็บมาสเตอร์ล่ะ เพราะคงได้กินพื้นที่เว็บซะเกินครึ่งเซิฟเวอร์แน่(แหม เว่อร์ซะ) จขบ. เลยขอสรุปมาเป็นข้อๆ เท่าที่ปัญญาอันน้อยนิดจะทำได้มาละกัน อย่างแรกนะเหรอ?
1."เค้า" ญาติโกโหติกาลึกลับ ผู้ปรากฏในทุกวงศ์ตระกูลของประเทศไทย
"เค้า"ว่า เป็นหมอแล้วเงินเดือนดีนะ ได้ทีตั้งหลายหมื่น
"เค้า"ว่า เป็นตำรวจ ทหารแหละดี มีอำนาจ มีอิทธิพล ไม่ต้องเกรงกลัวใคร
"เค้า"ว่า ทำงานอะไรก็ได้ที่มันได้เงินเยอะๆก็พอ
"เค้า"ว่า เรียนให้เก่งๆ สูงๆไว้เหอะ แล้วจะประสบความสำเร็จ
"เค้า"ว่า ถ้าได้เกรดสี่แน่ล่ะพ่อเจ้าประคุณรุนหัวเอ๊ย!! มันไม่มีใครเทียบอีกแล้ว
....................ถามตัวเองหน่อย เบื่อมั้ย?
เบื่อมั้ยกับการที่ต้องมาทนฟังบุคคลรอบข้างในนำเสนอกันจัง มากำหนดชีวิตเรา มาลิขิตว่านั่นแหละดี นี่แหละดี ทำอันโน้นสิ ทำอันนี้สิ
แล้วตกลงไอ้ที่ยืนตาดำๆอยู่เนี่ย มันชีวิตเรา(กรู)หรือชีวิตเขา(เมิง)กันแน่ ทำไมเรามองหาด้วยตัวเองไม่ได้ว่าเป้าหมายจริงๆในชีวิตของเราคืออะไร ทำไมต้องเรียนแผนวิทย์? ทำไมต้องเรียนแผลศิลป์? ทำไมต้องเรียนช่างกล?
หรือแค่เพราะเราเก่งเราเลยต้องเข้าแผนวิทย์?
หรือแค่เพราะเราไม่เก่งวิทย์เราเลยต้องเข้าแผนศิลป์?
หรือแค่เพราะเราเรียนไม่เก่งเราเลยต้องเรียนสายอาชีพ?
ณ วันนี้ คุยตอบตัวเองได้หรือยัง ว่าสิ่งที่คุณเรียนอยู่ เรียนไปเพื่ออะไร? ทำไมต้องเรียนแบบนี้? ทำไมต้องเรียนแบบนั้น? คุณเรียนเพื่ออนาคต เพื่อความมั่นคง เพื่องานที่คุณชอบในภายภาคหน้า หรือคุณแค่เรียนเพราะมีใครสักคนมาบอกให้คุณเรียน?
คุณตอบตัวเองได้รึยังว่าจุดประสงค์ในการเรียนของคุณคืออะไร?...
2.สอบได้ตล๊กกกกกกกกกกกก ตลก สอบตกมันธรรมด๊าาาาาาาาาาาาาาาาธรรมดา
ประโยคปลอบใจตัวเองของคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จในการสอบ(หรือก็คือสอบตกนั่นแหละ) แต่ จขบ.ว่า มันเป็นคำแก้ตัว บิดเบือนประเด็นของพวกขี้เกียจมากกว่า หรือคุณว่าไม่จริง?
"เรียนเก่งไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จซะหน่อย" - เออ ถูก แล้วเมิงเรียนให้เก่งก่อนนะ ค่อยมาพูด
"วิศวะ หมอ สถาปัตย์ ตกงานตั้งเยอะแยะไป" - น่านนน ไปจับกังสิจ๊ะ
"เรียนได้เกรดสี่ก็แค่นั้นแหละ เครียดเกือบตายได้ยิ้มแค่ตอนผลออก" - แต่พอสมัครสอบต่อ เกรดไม่ถึงเมิงก็สมัครไม่ได้
"เรียนได้ที่หนึ่งของห้อง ไม่จำเป็นจะต้องสอบ(เอ็นท์)ติดทุกที่ซะหน่อย" - อืม ใช่ หรือเมิงอยากได้ที่สุดท้ายของห้อง
.............................ถามตัวเองหน่อย ทุกวันนี้ พยายามถึงที่สุดรึยัง
ก่อนจะมาบอกว่าเรียนเก่งไม่จำเป็นต้องสอบติด ได้เกรดสี่ไม่จำเป็นต้องมีงานทำ และประโยคแก้ตัวอีกมากมาย (ก็ จขบ.เห็นพ้องแล้วว่ามันเป็นคำแก้ตัวทั้งนั้น) ตอบตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ ว่าทำเต็มที่กับการเรียนแล้วหรือยัง
บอกว่าตัวเองเหนื่อย เครียด ทั้งๆที่กลับบ้านไปก็เปิดทีวี เล่นเอ็ม เม้าท์กันมันเที่ยงคืนยันเช้า แต่พออ่านหนังสือ หนึ่งชั่วโมงมันยาวนานเป็นทศวรรษ ข้อสอบนี่มันยาก ยากจะตาย(ห่า)อยู่แล้ว ออกมาไม่สงสารเด็กเลย ออกมาได้ยังไง อ่านหนังสือนี่มันจำไม่ด๊ายยจำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องดารา เรื่องชาวบ้านล่ะรู้หมด คนนี้เป็นแฟนคนนั้น คนนั้นเป็นแฟนคนโน้น คนนู้นไปเที่ยวกับใคร ทำอะไรที่ไหนบ้างรู้หมด แต่สูตรเลขหก เจ็ดสูตรกลับจำไม่ได้
คุณตอบไตัวเองได้หรือยัง ว่าการเรียนมันลำบากยากเย็น หรือมันเป็นเพราะความขี้เกียจของคุณเอง?...
3.เรียนไปก็เอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ จะเรียนทำไม?
"ตรีโกณมิติ" จะเรียนทำไมในเมื่อไม้บรรทัดก็มีใช้
"เมทริกซ์" จะหาเดททำซากอะไรในเมื่อชีวิตจริงไม่มีใครมานั่งคูณลง ลบคูณขึ้นอยู่แล้ว
"ภาษาไทย" จะเรียนทำไม เรา(กรู)ก็พูดอยู่ทุกวัน
"งานบ้าน" ไม่เห็นต้องทำ ยังไงโตขึ้นก็มีคนใช้
.....เพราะอะไรล่ะ เพราะคุณๆทุกคนมีสิ่งที่เรียกว่า"สมอง"น่ะสิ ธรรมชาิติให้สมองเรามาก็เพื่อคิด นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมเราจึงต่างจากเดรัจฉานอื่นๆ ลองคิดดูนะ
ถ้าวันนึง ไมเคิล ฟาราเดย์บอกว่า คิดไปทำไมให้ปวดหัว เทอร์โมไดนามิกยังไงก็ไม่ต้องใช้ในชีวิตจริงหรอก ป่านนี้เราคงยังต้องอยู่ตามถ้ำ จุดคบเพลิง เพราะไม่มีไฟฟ้าใช้
ถ้าวันนึง โทมัส เอดิสันบอกว่า โอ้ย! ทดลองมาเป็นพันๆอย่างแล้ว หลอดไฟใช้ไม่ได้สักที ป่านนี้เราก็คงยังต้องจุดเทียนล่ะมั้ง เพราะไม่มีหลอดไฟใช้
ถ้าวันนึง อเล็กซานเดอร์ แกรเฮม เบล บอกว่า จะคิดโทรศัพท์ไปใย ในเมื่อก็มีนกพิราบใช้ ป่านนี้เราก็คงไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ไกลๆหรอก เพราะไม่มีโทรศัพท์ใช้...
...............ถามตัวเองหน่อย คุณรู้จักประโยชน์ของการเรียนมากแค่ไหน?
เห็นมั้ยล่ะว่า การเรียน มีไว้เพื่ออะไร ไม่ได้มีไว้เพื่อการทำเกรดสี่ ไม่ได้มีไว้อวดอ้างตนข่มคนอื่น ไม่ได้มีไว้ทำอีโก้ว่ากรูนี่ฉลาดสุดในโลกแล้ว แต่การเรียนทำให้เรารู้จักคิด ทำให้รอยหยักในสมองมันเพิ่มมากขึ้น แล้วสิ่งที่เรียกว่าความคิดและการรู้จักวิเคราะห์มันจะตามมา ในขั้นนั้นมันไม่ใช่เพื่อมาทำโจทย์เลขแล้ว แต่มันจะมีผลต่อการรู้จักชั่งน้ำหนักในการทำสิ่งต่างๆในชีวิต ถ้าความคิดไม่ใช่สิ่งจำเป็นแล้วล่ะก็ ทำไมเราไม่เห็นคนออทิสติกรวยล้นฟ้าล่ะ? ทำไมเด็กเอ๋อถึงไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีล่ะ? ก็เพราะคนเหล่านั้น เป็นผู้ไร้ความสามารถซึ่งการคิดและวิเคราะห์(ในระดับหนึ่ง)แล้วนั่นเอง
เห็นหรือยัง ว่าการเรียนไม่ได้มีแค่ไว้ทำโจทย์เลข......
ร่ายมาซะยาว จขบ.(ยังจำได้มั้ย เออ หมายถึงเจ้าของบล้อค) ก็เริ่มเหนื่อย
มันไม่สำคัญหรอก ว่่าคุณจะเรียนอะไร
มันสำคัญที่ว่า คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณเรียนไปทำไม?
มันสำคัญที่ว่า นั่นใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงหรือ?
เพราะเหนือสิ่งอื่นใด
เมื่อคุณเรียนจบ
เมื่อคุณทำงาน
คุณ
ก็คือคนที่จะต้องอยู่กับงานนั้นไปตลอดขีวิต
ไม่ใช่ พ่อ
ไม่ใช่ แม่
ไม่ใช่ พี่
ไม่ใช่ ปู่ ย่า ตา ยาย
และไม่ใช่คนอื่นใดนอกจากตัวคุณ
เมื่อออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว
คุณไม่โอกาสกลับมาเลือกใหม่อีก
ถ้าสิ่งที่คุณเลือกมันคือสิ่งที่คุณทำแล้วมีความสุข
คุณก็จะมีความสุขไปตลอดชีวิต
แต่ถ้าสิ่งที่คุณเลือก เมื่อคุณทำแล้วกลับไม่ชอบ ไม่สนุกไปกับมัน
เมื่อนั้น
คุณก็จะมีความทุกข์กับมันไปตลอดชีวิต
จงเป็นตัวของตัวเอง
เลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการ
ศิกดิ์ศรีเป็นมโนธรรม แต่สุขและทุกข์คือรูปธรรม
จงมองข้ามศักดิ์ศรีเมื่อคุณเลือกจะทำอาชีพอะไร
แต่จงอย่าลืมศักดิ์ศรีในอาชีพที่คุณทำ
เพราะหากจะมีใครเลือกสิงที่ดีที่สุดให้กับคุณ
มันก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ
"If you think Education is expensive, try ignorance"
- Derek Bok (American Educator and Lawyer (pres. of Harvard Univ. 1971-1990), b.1930)
ที่มา -MiscellaneouS-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น