ก่อนจะเข้าเรื่อง บอกก่อนเลยนะัครับ พี่เรียนอยู่ ที่ ม.ขอนแก่น ปี 2
ย้อนไปสมัย ม.6 พี่้เองก็คิดแบบน้องๆหลายคน อยากเรียนที่ดังๆให้มันดูเท่ ดูโก้
จบ ม.6 พี่ได้เกรด 1.42 จึงมองเห็นความเป็นได้หลายแง่หลายมุม
กว่าพี่จะเรียบเรียงมาเขียนเป็นบทความได้ พี่ต้องหนีไปอยู่ป่าที่บนดอย ตั้ง 3 วันนะ เลยได้สัจธรรมชีวิตมา
ตอนพี่ อยู่ ม.6 แน่นอน อยากมีที่เรียนดีๆ เรียนในคณะที่เข้าไปแล้วรู้สึกว่าเราเป็นคนเก่ง
อยากให้ใครถามว่า ติดอะไรยัง แล้วตอบไปเลย ว่า
"อ่อ ติดแล้ว ติด ธรรมศาสตร์ จุฬา เกษตร" ไม่ต้องมีคณะอะไรหรอก เอาชื่อ มหาลัยไว้ก่อน บอกตรงๆครับ เท่มาก ภาษาเด็กเกเร อย่างพี่ก้ แม่งเท่เหี้ยๆ มึงติดได้ไงวะ ประมานนั้นล่ะ
***ขออภัยที่ใช้คำหยาบมา ณ ที่นี้ด้วยครับ แต่เพื่อสื่อให้เห้นว่า โลกนี้ยังมีอีกหลายด้านกว่าที่น้องๆคิดมากๆ******
พี่สอบติด ม.ขอนแก่น โอ๊ะ โอว ทำไปได้ ไม่เชื่อสายตา เท่สิคับ หล่อระเบิด ไงล่ะ เกรด 1.42 สอบติด มข.
พี่หลงระเลิงอยู่กับความเท่ตามสมัยเด็ก ม.6 ได้ซักพัก แน่นอน ชีวิตก่อนเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านเพื่อมาเรียน อย่างเท่ เเที่ยวบอกใครต่อใครไปทั่วว่าติด ขอนแก่น อันนี้ขนาดพี่เรียน แค่ วิทยาศาตร์นะ ไม่คิดเลยว่า ถ้าติดหมอจะเท่ขนาดไหน
ใช้ชีวิตแห่งความสุขไปได้ซักพัก กินเหล้า กับเพื่อน เล่นเกมส์ ยันเช้า ก้แล้วไงล่ะ มีที่เรียนแล้ว
ไปเรียน มันทำไม ม.6 ใช้ชีวิตเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่....
จนวันเข้ามหาลัย วันแรก แน่นอน เท่สุดๆ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรุ่นพี่ เพื่อนใหม่ๆ ก้มีเพียบ
แหมม บอกตรงๆ เป็นเฟรชชี่ มีความสุขมาก
พอเรียนไปได้ซักพัก ไอ้ที่ฝันไว้อย่างสวยงามก็ค่อยหมดไป
มาเรียนใน ม. ที่มีชื่อเสียง แต่กลับลืมสำรวจว่าตัวเองชอบอะไร อยากเป็นอะไร สิ่งที่ต้ิองการจริงๆคืออะไร
พี่ไม่บอกหรอกว่า พี่ชอบอะไรอยากเป็นอะไร เอาเป็นว่า เข้่าเรื่องของน้องๆกันเลยดีกว่า
การเลือกเรียนต่อ ในระดัีบ ป.ตรี ของน้องๆ คนแต่ละคน มีความสุขความทุกในการเลือกต่างกันมากๆ เพราะพี่ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง พี่เลยมองเห็นโลก ได้หลายมุมกว่า
ถามว่า พี่เสียใจมั้ย ที่เรียนไม่เก่ง โดนเตะจากห้อง คิง ตอบ "ไม่เลย"
พี่มองเห็นอะไรเยอะแยะ มองเห็น "ชีวิต"
ถ้าโลกของการเรียน มีเด็ก 2 อย่างคือ
เด็กที่เรียนเก่ง กับ เรียนไม่เก่ง
ทำไมพี่ถึงไม่ใช้คำว่า โง่ เพราะโลกนี้ไม่มีคนโง่ มีแต่คน "รู้" กับ "ไม่รู้"
เด็กเรียนเก่ง จะเครียดเรื่องการเรียนต่อมาก เพราะ ต้องเข้า ม.ดังๆ คณะที่คะแนนสูง เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าเค้าเหล่านั้นเก่ง
ส่วน เด็กที่เรีัยนไม่เก่ง ก็จะพยายามหา มหาลัยไหนก็ได้ พอเรียนได้ เรียนจบตตามที่อยากใช้ชีวิตให้พอ
ยกตัวอย่าง
สมมุติ มีนาย A กับ B กำลังจะขึ้นเขียง Addmission เหมือนกัน
นาย A เรียนเก่งมาก คำนวนคณะแนนแอดในคณะที่คนเก่งชอบเรียนก็ประมาน 20000+ แต่ไม่รู้ตัวเอง "ชอบอะไร"
นาย B เรียนปานกลาง คะแนนแอดคณะที่ตัวเองอยาก้เรียนก้ 15000-16000 แต่คำณวนแล้ว ผ่านฉลุย
ก่อนถึงวันแอดมิชชั่น
นาย A เครียดมากๆ กับการแอดมิชชั่น เพราะ 20000+ มันเพดาน อาจหลุดคณะที่คนเก่งเรียนได้
นาย B แฮปปี้มาก เพราะ 16000+ มันผ่านในสิ่งที่ชอบ ทะลุเพดานกันไปเลย
ทั้งๆที่ นาย A กับ B มีคะแนนต่างกันมาก แต่นาย A ไม่มีความสุขเพราะยังหาสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นไม่เจอ แต่"ค่านิยม"สั่งนาย A ว่า นายเรียนเก่ง ต้องไปแข่งกับเขาสิ ไปแย่งกันเป็น เภสัช เป็นทันตะแพท เรียน จุฬาสิ เกษตรสิ ธรรมศาสตร์ สิ คณะอื่นสาขาอื่น ม.อื่น มันทางเลือกของคนโง่
สรุปผลแอด นาย A และ นาย B
ติดที่ตัวเอง ลงแอดไว้อันดับ 1 ทั้งคู่
นาย A เรียนทันตแพท ปี 1 ปี 2 หลับหูหลับตาเรียน เพื่อเก็บหน่วยกิจกลัวโดนรีไทร์ ก่อนสอบนั่งอ่านหนังสือจนไมเกรนขึ้นหัว
นาย B เรียนสาขาที่ชอบเหมาะสมกับตัวเอง ปี 1 ปี 2 เรียนสบายๆ เพราะคะแนนมาแบบล้นเพดาน และยังเป็นในสิ่งตัวเองชอบ ไปนั่งเรียนก้มีความสุข สอบก้มีความสุข
ผ่านไป 3 ปี นาย A และ B ขึ้น ปี 4
นาย A : เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ชอบเลย ไอ้หมอฟันเนี่ย เครียดจะตายชั้นเพิ่งรู้ตัวว่าอยาก เรียนกับธรรมชาติ ชอบธรรมชาติ แต่จะถอยก็ไม่ทันแล้ว เพราะ ชั้นอยู่ ปี 4 แล้ว แต่ทำไมที่ผ่านมาไม่รู้ ว่าตัวเองชอบอะไร เพราะชั้นเรียนเก่งมาตั้งแต่ ม.ปลาย ชั้นแพ้ไมได้ ต้องหลับหูหลับตาอ่านหนังสือ มารู้ตัวอีกทีก็ปี 4
นาย B : คิดว่า เห้ย จะจบแล้ว วางแผนการทำงาน ทำนี่ล่ะ ทำนั่นล้ะ ฉันชอบๆ แล้วก็ใช้ชีวิตปี 4 อย่างมีความสุข
จบมาทำงาน
นาย A ฝืนเป็นหมอฟัน ทำงาน ดมขี้ฟันคนไข้ ทั้งๆ ที่ไม่ชอบ จนอายุ 50-60
มีเงินเก็บ 10 ล้าน
นาย B ใช้ชีวิตในการทำงานในทุกๆวันอย่างมีความสุข จนอายุ 60
มีเงินเก็บ 1 ล้าน
แล้วมี นาย C มาด่านาย B ว่า
เห็นไหม ถ้าตอนเรียน นายตั้งใจเรียน ไปสอบเป็นหมอ อย่างนาย A นายคงมีเงินเก็บ ตอนบั้นปลาย ชีวิต เป็น 10 ล้าน แบบนาย A แล้ว
นาย B เลยยิ้มแล้วตอบไปว่า
อันที่จริง ฉันก็ควรจะเก็บเงิน ได้ 10 ล้าน เท่าเขานั่นล่ะ
แต่ฉันเอาไปซื้อ ความสุข กับเวลาให้ครอบครัว ในช่วงเวลาที่นาย A ไม่เคยได้มี และไม่มีสิทธิ์ทำได้ จนตังฉันหมดแล้ว :)
ส่วน นาย A ได้แต่คิดในใจ ทำยังไง เงิน 10 ล้านของฉัน จะ ซื้อเวลาของฉันในช่วง อายุ 25-60
ของฉันคืนมาได้ ฉันอยากเอาไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
เล่ามาซะยาว งงกันไหมครับน้องๆ
อันที่จริงพี่แค่อยากจะบอกน้องๆว่า
ต้องนี้น้องเครียดเรื่องสอบเรื่องแอดมิชชั่นกันใช่ไหม
ที่เครียด "เพราะ อะไร"
ถามตัวเองครับ ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ
"ใจ" สั่งให้ทำ หรือ "ค่านิยม" สั่งให้ทำ
อันเราจะเรียนที่ไหน คณะอะไร เราก็เป็นคนดี มีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกันครับ
อย่าแคร์เลยครับ กลัวคนจะมอง ไม่เท่ ไม่ดี ไม่มีระดับ เค้าไม่ได้อยู่กับเราทั้งชีวิตนะ แต่เราก็กับตัวเราเองตลอดไป :)
ย้อนไปสมัย ม.6 พี่้เองก็คิดแบบน้องๆหลายคน อยากเรียนที่ดังๆให้มันดูเท่ ดูโก้
จบ ม.6 พี่ได้เกรด 1.42 จึงมองเห็นความเป็นได้หลายแง่หลายมุม
กว่าพี่จะเรียบเรียงมาเขียนเป็นบทความได้ พี่ต้องหนีไปอยู่ป่าที่บนดอย ตั้ง 3 วันนะ เลยได้สัจธรรมชีวิตมา
ตอนพี่ อยู่ ม.6 แน่นอน อยากมีที่เรียนดีๆ เรียนในคณะที่เข้าไปแล้วรู้สึกว่าเราเป็นคนเก่ง
อยากให้ใครถามว่า ติดอะไรยัง แล้วตอบไปเลย ว่า
"อ่อ ติดแล้ว ติด ธรรมศาสตร์ จุฬา เกษตร" ไม่ต้องมีคณะอะไรหรอก เอาชื่อ มหาลัยไว้ก่อน บอกตรงๆครับ เท่มาก ภาษาเด็กเกเร อย่างพี่ก้ แม่งเท่เหี้ยๆ มึงติดได้ไงวะ ประมานนั้นล่ะ
***ขออภัยที่ใช้คำหยาบมา ณ ที่นี้ด้วยครับ แต่เพื่อสื่อให้เห้นว่า โลกนี้ยังมีอีกหลายด้านกว่าที่น้องๆคิดมากๆ******
พี่สอบติด ม.ขอนแก่น โอ๊ะ โอว ทำไปได้ ไม่เชื่อสายตา เท่สิคับ หล่อระเบิด ไงล่ะ เกรด 1.42 สอบติด มข.
พี่หลงระเลิงอยู่กับความเท่ตามสมัยเด็ก ม.6 ได้ซักพัก แน่นอน ชีวิตก่อนเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านเพื่อมาเรียน อย่างเท่ เเที่ยวบอกใครต่อใครไปทั่วว่าติด ขอนแก่น อันนี้ขนาดพี่เรียน แค่ วิทยาศาตร์นะ ไม่คิดเลยว่า ถ้าติดหมอจะเท่ขนาดไหน
ใช้ชีวิตแห่งความสุขไปได้ซักพัก กินเหล้า กับเพื่อน เล่นเกมส์ ยันเช้า ก้แล้วไงล่ะ มีที่เรียนแล้ว
ไปเรียน มันทำไม ม.6 ใช้ชีวิตเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่....
จนวันเข้ามหาลัย วันแรก แน่นอน เท่สุดๆ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรุ่นพี่ เพื่อนใหม่ๆ ก้มีเพียบ
แหมม บอกตรงๆ เป็นเฟรชชี่ มีความสุขมาก
พอเรียนไปได้ซักพัก ไอ้ที่ฝันไว้อย่างสวยงามก็ค่อยหมดไป
มาเรียนใน ม. ที่มีชื่อเสียง แต่กลับลืมสำรวจว่าตัวเองชอบอะไร อยากเป็นอะไร สิ่งที่ต้ิองการจริงๆคืออะไร
พี่ไม่บอกหรอกว่า พี่ชอบอะไรอยากเป็นอะไร เอาเป็นว่า เข้่าเรื่องของน้องๆกันเลยดีกว่า
การเลือกเรียนต่อ ในระดัีบ ป.ตรี ของน้องๆ คนแต่ละคน มีความสุขความทุกในการเลือกต่างกันมากๆ เพราะพี่ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง พี่เลยมองเห็นโลก ได้หลายมุมกว่า
ถามว่า พี่เสียใจมั้ย ที่เรียนไม่เก่ง โดนเตะจากห้อง คิง ตอบ "ไม่เลย"
พี่มองเห็นอะไรเยอะแยะ มองเห็น "ชีวิต"
ถ้าโลกของการเรียน มีเด็ก 2 อย่างคือ
เด็กที่เรียนเก่ง กับ เรียนไม่เก่ง
ทำไมพี่ถึงไม่ใช้คำว่า โง่ เพราะโลกนี้ไม่มีคนโง่ มีแต่คน "รู้" กับ "ไม่รู้"
เด็กเรียนเก่ง จะเครียดเรื่องการเรียนต่อมาก เพราะ ต้องเข้า ม.ดังๆ คณะที่คะแนนสูง เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าเค้าเหล่านั้นเก่ง
ส่วน เด็กที่เรีัยนไม่เก่ง ก็จะพยายามหา มหาลัยไหนก็ได้ พอเรียนได้ เรียนจบตตามที่อยากใช้ชีวิตให้พอ
ยกตัวอย่าง
สมมุติ มีนาย A กับ B กำลังจะขึ้นเขียง Addmission เหมือนกัน
นาย A เรียนเก่งมาก คำนวนคณะแนนแอดในคณะที่คนเก่งชอบเรียนก็ประมาน 20000+ แต่ไม่รู้ตัวเอง "ชอบอะไร"
นาย B เรียนปานกลาง คะแนนแอดคณะที่ตัวเองอยาก้เรียนก้ 15000-16000 แต่คำณวนแล้ว ผ่านฉลุย
ก่อนถึงวันแอดมิชชั่น
นาย A เครียดมากๆ กับการแอดมิชชั่น เพราะ 20000+ มันเพดาน อาจหลุดคณะที่คนเก่งเรียนได้
นาย B แฮปปี้มาก เพราะ 16000+ มันผ่านในสิ่งที่ชอบ ทะลุเพดานกันไปเลย
ทั้งๆที่ นาย A กับ B มีคะแนนต่างกันมาก แต่นาย A ไม่มีความสุขเพราะยังหาสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นไม่เจอ แต่"ค่านิยม"สั่งนาย A ว่า นายเรียนเก่ง ต้องไปแข่งกับเขาสิ ไปแย่งกันเป็น เภสัช เป็นทันตะแพท เรียน จุฬาสิ เกษตรสิ ธรรมศาสตร์ สิ คณะอื่นสาขาอื่น ม.อื่น มันทางเลือกของคนโง่
สรุปผลแอด นาย A และ นาย B
ติดที่ตัวเอง ลงแอดไว้อันดับ 1 ทั้งคู่
นาย A เรียนทันตแพท ปี 1 ปี 2 หลับหูหลับตาเรียน เพื่อเก็บหน่วยกิจกลัวโดนรีไทร์ ก่อนสอบนั่งอ่านหนังสือจนไมเกรนขึ้นหัว
นาย B เรียนสาขาที่ชอบเหมาะสมกับตัวเอง ปี 1 ปี 2 เรียนสบายๆ เพราะคะแนนมาแบบล้นเพดาน และยังเป็นในสิ่งตัวเองชอบ ไปนั่งเรียนก้มีความสุข สอบก้มีความสุข
ผ่านไป 3 ปี นาย A และ B ขึ้น ปี 4
นาย A : เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ชอบเลย ไอ้หมอฟันเนี่ย เครียดจะตายชั้นเพิ่งรู้ตัวว่าอยาก เรียนกับธรรมชาติ ชอบธรรมชาติ แต่จะถอยก็ไม่ทันแล้ว เพราะ ชั้นอยู่ ปี 4 แล้ว แต่ทำไมที่ผ่านมาไม่รู้ ว่าตัวเองชอบอะไร เพราะชั้นเรียนเก่งมาตั้งแต่ ม.ปลาย ชั้นแพ้ไมได้ ต้องหลับหูหลับตาอ่านหนังสือ มารู้ตัวอีกทีก็ปี 4
นาย B : คิดว่า เห้ย จะจบแล้ว วางแผนการทำงาน ทำนี่ล่ะ ทำนั่นล้ะ ฉันชอบๆ แล้วก็ใช้ชีวิตปี 4 อย่างมีความสุข
จบมาทำงาน
นาย A ฝืนเป็นหมอฟัน ทำงาน ดมขี้ฟันคนไข้ ทั้งๆ ที่ไม่ชอบ จนอายุ 50-60
มีเงินเก็บ 10 ล้าน
นาย B ใช้ชีวิตในการทำงานในทุกๆวันอย่างมีความสุข จนอายุ 60
มีเงินเก็บ 1 ล้าน
แล้วมี นาย C มาด่านาย B ว่า
เห็นไหม ถ้าตอนเรียน นายตั้งใจเรียน ไปสอบเป็นหมอ อย่างนาย A นายคงมีเงินเก็บ ตอนบั้นปลาย ชีวิต เป็น 10 ล้าน แบบนาย A แล้ว
นาย B เลยยิ้มแล้วตอบไปว่า
อันที่จริง ฉันก็ควรจะเก็บเงิน ได้ 10 ล้าน เท่าเขานั่นล่ะ
แต่ฉันเอาไปซื้อ ความสุข กับเวลาให้ครอบครัว ในช่วงเวลาที่นาย A ไม่เคยได้มี และไม่มีสิทธิ์ทำได้ จนตังฉันหมดแล้ว :)
ส่วน นาย A ได้แต่คิดในใจ ทำยังไง เงิน 10 ล้านของฉัน จะ ซื้อเวลาของฉันในช่วง อายุ 25-60
ของฉันคืนมาได้ ฉันอยากเอาไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
เล่ามาซะยาว งงกันไหมครับน้องๆ
อันที่จริงพี่แค่อยากจะบอกน้องๆว่า
ต้องนี้น้องเครียดเรื่องสอบเรื่องแอดมิชชั่นกันใช่ไหม
ที่เครียด "เพราะ อะไร"
ถามตัวเองครับ ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ
"ใจ" สั่งให้ทำ หรือ "ค่านิยม" สั่งให้ทำ
อันเราจะเรียนที่ไหน คณะอะไร เราก็เป็นคนดี มีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกันครับ
อย่าแคร์เลยครับ กลัวคนจะมอง ไม่เท่ ไม่ดี ไม่มีระดับ เค้าไม่ได้อยู่กับเราทั้งชีวิตนะ แต่เราก็กับตัวเราเองตลอดไป :)
by beamz5555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น