วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ขนมไทยๆ


 Sideshow ขนมไทยๆ

ขนมวุ้น
 Sideshow ขนมไทยๆ
ทองหยิบ

 Sideshow ขนมไทยๆ

ทองหยอด
 Sideshow ขนมไทยๆ
ลูกชุบ
 Sideshow ขนมไทยๆ

ขนมเม็ดขนุน
 Sideshow ขนมไทยๆ

ขนมเปียกปูน
 Sideshow ขนมไทยๆ

สาคู
 Sideshow ขนมไทยๆ
ขนมตาล


ขนมหม้อแกง

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

ไข่ในรัง
ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

เรไร

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

ไข่แมงดาเทียม
ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

กระเช้าสีดา

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น


กลีบลำดวน
ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

ขนมชั้นใบเตย
ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

ข้าวเหนียวเหลืองหน้ากุ้ง

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น


ครองแครงกะทิ

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น


จ่ามงกุฏ



ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น


จี่

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

ดอกลำเจียก
ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

ละอองฟ้า

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น

วุ้นตาแมว

ขนมไทย..ใครอยากกินยกมือขึ้น
อาลัว
 ข้าวเหนียวมะม่วง
หลุด ___สาวข้างบ้าน

ขอบคุณเครดิต//http://atcloud.com/

14 ที่สุดในชีวิต

1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ "ตัวเราเอง"

2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ "ความอวดดี "

3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ "การหลอกลวง "

4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ "ความอิจฉาริษยา "

5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ "การยอมแพ้ตนเอง "

6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา คือ "การหลอกตัวเอง "

7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา คือ "การถดถอยของตัวเอง "

8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา คือ "ความอุตสาหะวิริยะ "

9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา คือ "ความสิ้นหวัง "

10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ "สุขภาพที่สมบูรณ์ "

11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ "หนี้บุญคุณ "

12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ "การให้อภัยและความเมตตา "

13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ "การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล "

14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ "การให้ทาน "

นิสัยที่ทำร้ายสมอง

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพ อ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไ ซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโย ชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเ อาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภ าพของสมองลดลง

6. การอดนอน เป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิ เจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการท ำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ค วามคิดจะทำให้สมองฝ่อ


10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญ ยังไงก็อย่าลืมหันมาเอาใจใส่กันด้วย.

อาหารจานเดียวยอดนิยมที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงควบคุมน้ำหนัก

ข้าวไข่เจียว 

 

ข้าวไข่เจียว 1 จาน ให้พลังงาน 470 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวหน้าเป็ด 
 

ข้าวหน้าเป็ด 1 จาน ให้พลังงาน 400 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวผัดกุ้งหรือปู 

 

ข้าวผัดกุ้งหรือปู 1 จาน ให้พลังงาน 530 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวผัดหมู 

 

ข้าวผัดหมู 1 จาน ให้พลังงาน 557 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวหมูแดง 

 

ข้าวหมูแดง 1 จาน ให้พลังงาน 541 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวหมกไก่ 

 

ข้าวหมกไก่ 1 จาน ให้พลังงาน 534 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวราดกะเพราไก่ไข่ดาว 

 

ข้าวราดกะเพราไก่ไข่ดาว 1 จาน ให้พลังงาน 590 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวผัดอเมริกัน 



ข้าวผัดอเมริกัน 1 จาน ให้พลังงาน 650 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวขาหมู 

 

ข้าวขาหมู 1 จาน ให้พลังงาน 436 กิโลแคลอรี่ 

ข้าวมันไก่ 

 

ข้าวมันไก่ 1 จาน ให้พลังงาน 596 กิโลแคลอรี่

10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร และ ลดความอ้วน


   
       คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อเรื่องอาหารแตกต่างกัน  ซึ่งบางทีก็จริงบ้าง  ผิดบ้าง  วันนี้เลยเอาความเชื่อที่บางคนคิดว่าถูกแต่จริง ๆ แล้วมันผิดมาฝากกัน..
1.งดมื้อเช้า
          ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
          ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ
3.หลังออกกําลังกาย
          ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ
4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
          อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ
5.เชื่อมั่นในฉลาก
          อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6.กินน้อยๆ
          คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับ ที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ
7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
          ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ
8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
          ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วยละ
9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
          แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ
10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
          หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ
          เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้วก็ควรจะเลือกเชื่อความคิดผิด ๆ เหล่านี้นะคะ  แล้วทำสิ่งที่ถูกจะดีกว่า...
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/12505.html

เทคนิคพิชิต O-NET คณิตศาสตร์ 100 คะแนนเต็ม !!


O-NET เป็นการสอบเกือบครั้งสุดท้าย มันก็แบบเหมือนเรามีพื้นฐาน เราได้อ่านหนังสือมาในการสอบก่อนๆ หน้าบ้างแล้ว เช่นผมและเพื่อนๆ บางส่วนที่สอบตรงติดแล้ว ไม่ได้ใช้ O-NET โดยตรง ก็ไม่กังวลมาก ตั้งใจทำให้เต็มที่ ในวันสอบก็พอ (ผมเป็นประธานนักเรียนด้วย ผมต้องคอยกระตุ้นเพื่อนให้เห็นความสำคัญของการสอบ อย่างน้อยถึงเราไม่ได้ใช้คะแนน ก็ตั้งใจสอบให้โรงเรียน) แต่คนที่ใช้คะแนนก็ต้องเตรียมตัว และแบ่งเวลาให้ดี เพราะมันหลายวิชามาก โดยส่วนตัวผมอยากแบ่งเวลาอ่านหนังสือให้ได้มากๆ แต่เอาเข้าจริงมันทำไม่ได้ ผมก็เลยใช้วิธีแบบ กำหนดว่าภายในเดือนนี้ เล่มนี้ต้องจบนะ ภายในอาทิตย์นี้ตรงนี้ต้องจบนะ เมื่อเราตั้งกติกาให้ตัวเองแบบนี้ วันไหนว่างก็อ่านได้เต็มที่ วันไหนเหนื่อย หรือขี้เกียจก็อาจไม่อ่านเลย แต่ยังไงก็ตามมันก็มีขอบเขตตั้งไว้แล้วว่า ภายในวันนั้นๆ ต้องจบนะ ผมว่าเวลาเราอ่านหนังสือตอน ม.6 อะ จริงๆ มันทำสำคัญที่พื้นฐาน ไม่ว่าจะมาจากในห้องเรียนหรือกวดวิชาแหละ คือถ้าเราพื้นฐานแน่น และสามารถเริ่มทำโจทย์ได้เลยโดยไม่ต้องทวนเนื้อหาเนี่ยมันเป็นการประหยัดเวลาเอามากๆ

สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ผมก็ซื้อหนังสือมาทำโจทย์ Entrance, A-NET, O-NET พริ้นมา PAT1 บ้าง ทำในชีทของอาจารย์ที่โรงเรียนแจกบ้าง ทำโจทย์ในหนังสือกวดวิชาบ้าง แรกๆ ก็หัดทำให้ได้ก่อน หลังๆ ก็ทำให้เร็ว ให้คล่อง เหมือนบางข้อมองแล้วเหมือนจะทำได้ แต่พอลองทำจริง มันอาจใช้เวลามากก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าประมาท หัดทำให้คล่องๆ ไว้ทุกข้อดีที่สุด

คืนก่อนสอบ
ผมก็ไม่ได้จับหนังสือมานาน หลังจากสอบ 7 วิชาสามัญ ก่อนสอบผมก็หยิบข้อสอบ O-NET ปีก่อนๆ มาเปิดผ่านๆ ตา ให้มันคุ้นๆ ว่าเค้าวาง Layout ข้อสอบแบบไหน ขนาดตัวอักษรเป็นไง พื้นที่ทดเยอะไหม เปิดเว็บ สทศ. ดูว่ามันมีกี่ข้อ ข้อละกี่คะแนน ข้อเขียน ข้อช้อท น้ำหนักคะแนนเป็นไง ออกเรื่องไหนมาก เรื่องไหนน้อย จะได้วางแผนไว้ก่อน ว่าจะเริ่มทำยังไง ทำให้รู้สึกเหมือนไม่เจอข้อสอบครั้งแรก 

หน้าห้องสอบ
ผมไม่จดอะไรไปอ่านก่อนสอบ หน้าห้องสอบก็คุยเล่นๆ กับเพื่อน และอย่าลืมทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย หากพลาดมันจะเป็นปัญหามาก ทิ้งวิชาก่อนหน้าไปให้หมด ทำได้ไม่ได้ช่างมัน ตั้งสมาธิกับวิชาที่จะสอบต่อไป

ในห้องสอบ
เราต้องยอมรับก่อนว่า O-NET เนี่ย ถึงมันจะไม่ง่ายมาก แต่มันก็ง่ายกว่า 7 วิชาสามัญ และ PAT1 การที่เราจะทำข้อสอบซึ่งไม่ยากมากให้ได้คะแนนดีเนี่ย ผมว่าเราต้องระวังพลาดเป็นสำคัญ อย่าให้เสียคะแนนไปโดยใช่เหตุ เวลาเหลือก็มาทวนดูวิธีคิดข้อที่ไม่มั่นใจ ลองคูณเลขแบบอื่นดูบ้าง ลองคิดวิธีอื่นดูบ้าง ว่าคำตอบตรงกันไหม ใจเราต้องนิ่ง อย่าไปกระวนกระวายกับข้อที่ทำไม่ได้ ให้ข้ามมันไปก่อน เวลาเราทำไม่ได้จริงๆ แล้วถ้าจะเดาก็ให้ดูซ้อทหน่อยละกัน ว่ามันสมควรกาลงไปหรือเปล่า เช่น บางข้อเราอาจคิดไม่ได้ แต่เราก็พอมองออกว่า มันควรจะตอบระหว่าง ก กับ ข นี่แหละ เราก็ควรติ๊กไว้ ว่าต้องเลือก 2 ช้อทนี้ ไม่ใช่พอเวลาใกล้หมดแล้วมาเดาใหม่หมดทั้ง 4 ข้อ ผมว่าเรื่องเวลาเนี่ยสำคัญ ถึงข้อสอบมันจะง่ายก็เถอะ แต่ถ้าไปจมปลักกับข้อที่ทำไม่ได้อยู่นานๆ ก็มีโอกาสทำไม่ทันได้เหมือนกัน ดังนั้นควรมีสติอยู่ตลอดว่าตอนนี้เราทำเร็วกว่าเวลา หรือช้ากว่าเวลา 

สอบเสร็จ
ไอ้ผมเนี่ย เอาจริงๆ ในใจลึกๆ ก็หวัง 100 เต็มอยู่เหมือนกัน เพราะตอนออกจากห้องสอบก็รู้สึกว่า ไม่ได้ติดใจข้อไหนเป็นพิเศษ พอเจอเพื่อนๆ ผมไม่อยากจะแชร์คำตอบกับเพื่อนเลย กลัวมันจะไม่ตรงกัน 55+ เอาเป็นว่า รอลุ้นวันประกาศทีเดียวละกัน และมันก็ได้ 100 เต็มจริงๆ

สุดท้าย
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ สำหรับ ม.6 ด้วยกัน ช่วงนี้ก็คงจะเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว ลุ้นคะแนนอย่างเดียว อย่าไปเครียดมาก เพราะเราสอบกันไปหมดแล้ว คนที่รอ admission ก็เลือกอันดับดีๆ นะครับ ขอให้สมหวังทุกคน สำหรับน้องๆ ก็เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ดีแล้ว ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ว่าจะเรียนอะไร แล้วคณะนั้นใช้คะแนนไรบ้าง ก็ไปฝึกทำโจทย์ทำอะไรไว้ให้พร้อม แล้วก็ขอให้โชคดีทุกคนครับ

by   Pavin Pirom