วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จุฬาฯไม่ใช่สวรรค์ นิสิตจุฬาฯไม่ใช่พระเจ้า



                 ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับคนที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยด้วยครับ(จริงๆตอนนี้แค่ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ แต่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าไปสัมภาษณ์ปกติก็ผ่านหมดอยู่แล้ว เหอะๆ) ส่วนคนที่ไม่ได้ผลตามที่หวังก็ไม่เป็นไรครับ ลองเปลี่ยนเป้าหมายไปก่อน แล้วถ้ายังอยากได้เป้าหมายเดิมก็ลองใหม่ปีหน้า ชีวิตนี้หนทางยังอีกยาวไกล(.....พอละ เดี๋ยวจะเริ่มน้ำเน่า)
คราวนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาโจมตีจุฬาฯอะไรหรอกนะครับ เพราะที่จริงอยากพูดรวมๆถึงทุกมหาวิทยาลัยมากกว่า แต่เกรงใจ เดี๋ยวจะหาว่าผมไปยุ่งกับมหาวิทยาลัยอื่น :P
สำหรับจุฬาฯก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีคนเลือกเป็นอันดับ 1 มากที่สุดของประเทศไทย(อ้างอิงจากสถิติของ สกอ.) ผมไม่ได้บอกว่าจุฬาฯเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศนะครับ มหาวิทยาลัยแต่ละที่ก็มีดีต่างกันไป หลายๆเรื่องจุฬาฯยังล้าหลังกว่าที่อื่นด้วยซ้ำ ตอนเรียนมีครั้งนึงผมไปพรีเซนท์งานหน้าชั้นแล้วเผลอพูดว่ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศ โดนอาจารย์ตอกกลับทันทีว่าเธอแน่ใจเหรอ จนผมต้องรีบแก้คำพูดใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว รอดตายหวุดหวิด(พอดีอาจารย์จบจากธรรมศาสตร์น่ะครับ เหอๆ)
แต่ทุกอย่างในโลกถ้ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเสมอ ในขณะที่หลายๆคนเลือกจุฬาฯเป็นอันดับ 1 บางคนคิดว่าเรียนอะไรก็ได้ขอให้เป็นจุฬาฯ เช่น ผมเอง(ไม่ได้คลั่งจุฬาฯนะครับ แต่ใกล้บ้านที่สุด ผมขี้เกียจตื่นเช้า เหอะๆ) แต่ก็มีบางคนที่ไม่คิดจะเลือกจุฬาฯด้วยเหตุผลต่างกันไป สมัยผมมีเพื่อนคนนึงคะแนนสอบดีกว่าผมอีก แต่ไม่เลือกจุฬาฯเพราะที่บ้านบอกว่าจะเรียนอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่จุฬาฯ  ผมไม่ได้ถามลึกไปกว่านั้น แต่ก็คิดว่าที่บ้านเค้าคงเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ดีของจุฬาฯ ซึ่งผมเองก็เจออะไรแย่ๆมาหลายเรื่องแล้วเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าครับ ถ้ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ถึงผมไปอยู่ที่อื่นก็ต้องเจอเรื่องแย่ๆของที่อื่นเหมือนกันแหละ
มาถึงตรงนี้อาจมีบางคนเถียงว่าเค้าทนลำบากเหมือนอยู่ในนรก ตั้งใจเรียนในโรงเรียน+เรียนพิเศษ+ทบทวน วันละ 23 ชั่วโมง ยอมนอน 1 ชั่วโมง มาตลอด 12 ปีเพื่อจุฬาฯ (.....มีใครทำแบบนี้จริงๆรึเปล่าครับ ถ้ามีก็ขออภัย เหอๆ) แต่ตอนนี้เค้าได้ตามที่หวัง เข้าไปแล้วก็จะสบายเหมือนขึ้นสวรรค์ จะคิดแบบนั้นก็คงได้ครับ แต่จะทำได้รึเปล่าก็อีกเรื่อง
ผมเคยเห็นหลายๆคนบอกว่าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วต้องเรียนหนักเหมือนเตรียมสอบ Ent ทุกวัน.........ไม่รู้จริงรึเปล่านะครับ ผมคิดว่าบางคนอาจจะพูดจริงทำจริง บางคนอาจจะแค่แกล้งขู่รุ่นน้อง หรือบางคนอาจจะแค่พูดๆไปงั้นแหละ แต่สำหรับผมไม่เคยทำขนาดนั้นหรอกครับ ผมเรียนแบบเซ็งๆมาตลอด(นี่คือผลของการที่คิดว่าเรียนอะไรก็ได้ครับ รู้สึกว่าความตั้งใจเรียนแย่กว่าตอนอยู่มัธยมเยอะเลย) เวลาเรียนก็แทบไม่ได้จด หนังสือเรียนก็ไม่ได้อ่าน เวลาสอบก็เข้าไปมั่วๆ แต่ผมก็ผ่านมาได้ตลอด เกรดปัจจุบันก็ 3 กว่า วิชาที่เหลือต่อให้ได้ D หมดก็ยังได้เกียรตินิยม.........ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเรียนแบบนี้แล้วมันจะได้เกียรตินิยมได้ยังไงทั้งๆที่ตอน ม.ปลาย ผมตั้งใจเรียนกว่านี้ยังได้ GPA แค่ 2.4 ผมเลยคิดได้อยู่ 2 อย่างคือถ้าไม่เป็นที่โรงเรียนผมมาตรฐานสูงเกินไปก็อาจเป็นเพราะคณะผมมาตรฐานต่ำเกินไป ถ้าไปอยู่คณะอื่นผมอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ใครจะไปรู้
ตรงนี้อาจมีบางคนยิ่งเถียงมากขึ้นว่าขนาดผมเรียนโฉดๆแบบนี้ยังจะได้เกียรตินิยม นี่มันสวรรค์ชัดๆ ก็อาจจะใช่อีกนั่นแหละครับ แต่จะทำได้รึเปล่านั่นก็อีกเรื่องเหมือนเดิม
จุดมุ่งหมายในการเรียนของแต่ละคนต่างกันไปครับ บางคนต้องการผลแบบ Perfect เกรด 4.00 เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง บางคนต้องการผลแค่ให้มันจบๆไป เกรดเอาแค่เกิน 2.00 พอ ของผมเป็นแบบหลังนะครับ(ตัวอย่างที่ไม่ดี เหอๆ) ใครจะมาเรียนแบบผมแต่หวังผลแบบแรกนี่ฝันไปเถอะ แล้วถึงผมจะเรียนแบบโฉดแค่ไหนก็มีลิมิตครับ เวลาเรียนไม่ได้จด หนังสือไม่ได้อ่าน แต่ผมเข้าเรียนทุกครั้ง ไม่สาย ไม่ขาด(ยกเว้นมีเหตุจำเป็น) งานส่งครบทุกชิ้น ตรงนี้มันก็พอจะทดแทนกันได้บ้าง แต่ถ้าใครไม่จด ไม่อ่าน ไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน.........แบบนี้อย่าว่าแต่จบด้วย 2.00 เลย แค่ปี 1 ก็รอดยากแล้วครับ ใครที่คิดว่าเข้ามาได้แล้วจะทำตัวยังไงก็ได้คิดผิดถนัดครับ
ตั้งแต่ผมอยู่จุฬาฯมาเคยเจอกับคนใกล้ตัว 3 รายครับ
รายแรกเป็นเพื่อนที่อยู่สาขาเดียวกับผมเอง คนนี้จบมาจากโรงเรียนชื่อดัง อักษรย่อ ต.*. (ไม่รู้เลยนะเนี่ย เหอะๆ) เข้ามาด้วยคะแนนของสายวิทย์เป็นอันดับ 1 ของสาขาวิชา แต่แทบไม่เข้าเรียนซักวิชา บอกว่าเดี๋ยวตอนสอบค่อยอ่านเอง งานก็ส่งบ้างไม่ส่งบ้าง ผลก็คือจบเทอมแรกด้วยเกรด 1. กว่าๆ แถม F 1 ตัวจากวิชาบัญชี (วิชาบัญชีสำหรับใครที่ไม่เคยเรียน แล้วอ่านเองรู้เรื่องหมดโดยไม่ต้องมีคนอธิบาย ผมขอยกย่องในความเป็นอัจฉริยะของท่าน) เทอม 2 ก็ไม่ค่อยต่างจากเทอมแรกซักเท่าไหร่ แต่ยังดีว่ามันเก่งจริง ทำเกรดรวม 2 เทอมเกิน 2.00 ไม่โดนรีไทร์ ปัจจุบันก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ได้ F มา 2-3 ตัวแล้วมั้ง(จากบัญชีอย่างเดียวเลย) แต่เกรดรวมเกิน 2.00 ยังไงก็จบได้
รายที่ 2 รายนี้น่าเสียดายมากครับ เป็นเพื่อนที่ชมรม คนนี้ทำกิจกรรมเยอะมาก พอปี 4 กำลังจะจบ .......แต่จบไม่ได้เพราะติดอยู่วิชานึง แล้วไม่รู้ว่าเค้าไม่อยากพยายามต่อหรือพยายามต่อไม่ได้แล้ว สุดท้ายเลยขอโอนหน่วยกิตย้ายมหาวิทยาลัยไปจบที่อื่นแทน
รายที่ 3 รายนี้น่าเสียดายที่สุดแล้วครับ เป็นรุ่นน้องที่ชมรม อยู่คณะยอดนิยมที่มีผู้ชายเยอะที่สุดในมหาวิทยาลัยซึ่งไม่ได้เข้ากันง่ายๆเลย พอดีช่วงนั้นเกม DotA กำลังฮิตครับ เค้าก็เลย DotA จนจบเทอมแรกด้วยเกรด 0. กว่าๆ.......ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเค้าเรียนยังไง แต่คาดว่าเป็นเพราะเลียนแบบคนอื่นคือโดดเรียนไปเล่นเกม สุดท้ายเทอม 2 เกรดรวมไม่ถึง 2.00 โดนรีไทร์
วิธีเรียนของแต่ละคนแตกต่างกันตามความถนัด บางคนอาจจะนั่งฟังเฉยๆ บางคนอาจจะต้องจดทุกตัวอักษร หรือบางคนแค่อ่านเองก็ได้ ของแบบนี้เลียนแบบกันไม่ได้ครับ ใครจะใช้วิธีไหนก็ใช้ไป แต่ต้องรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นเอง
แล้วใครที่ติดจุฬาฯคิดว่าตัวเองเก่งมันก็ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าคิดแล้วพยายามพัฒนาตัวเองให้เก่งจริงๆ(คนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วครับ) แต่อย่าให้มันมากเกินไป ประมาณว่าข้าอยู่จุฬาฯ ข้าเก่งที่สุด ไม่มีใครเทียบได้ ถ้าใครคิดแบบนี้นี่แย่แล้วครับ คะแนนอาจจะตัดสินการเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ตัดสินความเก่งของคนไม่ได้หรอกครับ
ตัวอย่างง่ายๆคือผมเองครับ ตอนผมเข้าจุฬาฯ ผมเข้ามาด้วยคะแนนสอบของสายศิลป์(ผมเรียนสายวิทย์ แต่ไม่เหลือความเป็นวิทย์แล้วครับ เหอะๆ)ด้วยคะแนนสอบไม่รวม GPA สูงสุดของสาขาวิชา แต่พอรวม GPA แล้วผมหล่นไปอยู่ตรงกลางๆ ในขณะที่เพื่อนอีกคนนึงที่เป็นอันดับ 1 ของสายศิลป์ตัวจริงคะแนนสอบน้อยกว่าผม แบบนี้บอกได้มั้ยครับว่าใครเก่งกว่ากัน ถ้ายังไม่แน่ใจก็ลองดูต่อครับ
ปีต่อมาผมกับเพื่อนคนนั้น Ent ใหม่เพื่อย้ายคณะซึ่งเป็นคณะเดียวกัน คะแนนสอบผมก็ยังมากกว่าเค้าอยู่หลายสิบคะแนน(สมัยนั้นคะแนน Ent แค่หลักร้อยครับ ไม่ได้เป็นหลักพันเหมือน Admissions) ผลก็คือ เค้าติด แต่ผมไม่ติด ตอนนี้บอกได้รึยังครับว่าใครเก่งกว่ากัน ..........ผมยังบอกไม่ได้เลยครับ เหอะๆ
ต่อไปลองมาดูเรื่องของคนไกลตัวผมบ้างครับ อันนี้มีคนมาเล่าให้ฟังอีกที
กรณีที่ 1 พ่อผมบ่นให้ฟังเองครับ พ่อบ่นว่าที่ทำงานมีลูกน้องคนนึงจบจากจุฬาฯ ตอนแรกก็นึกว่าจะเก่ง สั่งให้ทำอะไรก็บอกว่าทำได้หมด แต่พอผลงานออกมาไม่ได้เรื่องซักอย่าง เป็นพวก good but mouth (ได้ยินตอนแรกก็งง อะไรวะ good but mouth เหอะๆ) แล้วยังทำตัวได้กร่างมากจนต้องเรียกไปว่าหลายทีแล้ว
กรณีที่ 2 อาจารย์ที่คณะบัญชีเล่าให้ฟังครับ อาจารย์ท่านนี้เป็นที่ปรึกษาของหลายๆบริษัท แล้วก็สอน ป.โท มีผู้บริหารมาเรียนด้วย เลยรู้เรื่องภายในของหลายๆบริษัท อาจารย์บอกว่าเดี๋ยวนี้บางบริษัทไม่อยากได้คนที่จบจากจุฬาฯครับ ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่เพราะไม่สู้งาน เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ(อาจารย์ใช้คำนี้เลยครับ ผมได้ยินยังเหวอเลย) หรือบางที่รับไปเยอะๆก็เล่นพรรคเล่นพวก เป็นปัญหาของบริษัทอีก
กรณีที่ 3 อาจารย์ที่คณะผมเล่าให้ฟังว่ามีนิสิตไปฝึกงานคณะได้รับคำชมว่านิสิตทำงานดีมาก ยกเว้นอย่างเดียวคือไปสายประจำ ซึ่งตอนนี้แค่ฝึกงานไม่เป็นไร แต่อนาคตทำงานจริงแบบนี้แย่แน่ๆ (แต่อันนี้ไม่แปลกใจครับ เจอ CU Time ประจำ เริ่มเรียน 9 โมง แต่เข้าเรียนกัน 10 โมง เจอแทบทุกวิชา เหอะๆ)
จากตัวอย่างทั้ง 3 กรณีนี้ถึงจะไม่ได้หมายความว่านิสิตจุฬาฯทุกคนจะเป็นแบบนี้ทั้งหมด และอาจจะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่ผมคิดว่าแค่นี้ก็พอที่จะสะท้อนอะไรได้หลายอย่างแล้วครับ

จากที่ว่ามาทั้งหมดนี้สรุปสั้นๆ

- จุฬาฯเป็นสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในประเทศไทยเหมือนกับที่อื่นๆ

- นิสิตจุฬาฯก็เป็นคนคนนึงเหมือนกับคนอื่นๆ

- คนที่อยู่จุฬาฯไม่ได้แปลว่าจะต้องเก่งกว่าคนที่อยู่ที่อื่นเสมอไป

- ความเก่งขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับสถาบัน

- คนที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดเป็นคนที่โง่มาก

- ใครทำอะไร ไม่ว่าผลจะออกมายังไง คนคนนั้นต้องรับผิดชอบเอง





ไม่มีความคิดเห็น: