หนังสือหลายเล่มบอกว่า ในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา โลกของเราเปลี่ยนแปลงเร็วกว่ารอบ ๑๐๐ ปีที่แล้ว..
เราต่างรู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่วิธีการคิดและการสร้างธุรกิจของหลายๆคนยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หนทางและวิธีการที่คนรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าทำตามกันมา เช่น พ่อเป็นทหารลูกก็โตขึ้นมาเป็นทหารด้วย หรือพ่อเป็นครู ก็พยายามปลูกฝังให้ลูกเป็นครูด้วย คงไม่ใช่คำตอบสำหรับการมีชีวิตอย่างมีความสุข และมีโอกาสได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่คนรอบๆข้าง เพื่อนผมคนหนึ่งอยากให้ลูกสาวเป็นหมอ พอเห็นลูกสาวนั่งจินตนาการว่าตัวเองเป็นนักดนตรี เล่นกีตาร์คลอไปกับเสียงเพลงอย่างมีความสุข แต่พอเห็นพ่อยืนดูก้รีบแก้ตัวและแก้ความฝันว่า "โตขึ้นหนูจะเป็นหมอที่ชนะการประกวด AF ค่ะ" เพื่อนผมจึงถามตัวเองว่า...ตกลงแล้ว เขาอยากให้ลูกเป็นหมอเพื่อตัวเองจะได้สมหวังที่เห็นลูกเป็นอย่างที่คิด หรือจริงๆแล้ว.. น่าจะปล่อยให้ลูกได้มีความฝันและเป้าหมายในชีวิตเป็นของตัวเองกันแน่ พูดถึงเรื่องนี้ นับว่าผมโชคดีที่พ่อแม่ไม่พยายามยัดเยียดความฝันให้ผมต้องสานต่อ..
เท่าที่นึกย้อนกลับไปได้ เห็นจะมีเพียงเมื่อครั้งเรียนจบ ม.๓ และต้องสอบเข้าเรียนต่อชั้น ม.๔
ตอนนั้นเพื่อนแทบทุกคนตั้งเป้าหมายว่า จะต้องสอบเข้าเรียนต่อในสายวิทยาศาสตร์.. ใครว่ายังไงก็ว่าตามกัน กระทั่งเพื่อนบางคนที่ผลการเรียนไม่เคยจะเอาตัวรอดได้เลย ก็ยังเฮโลไปสอบเรียนต่อในสายวิทย์
เป็นธรรมดาของมนุษย์..เราเห็นคนหมู่มากทำอย่างไร ก็คิดไปว่า เส้นทางนั้นน่าจะถูกต้อง.. และปลอดภัย
ความรู้สึกปลดภัยเป็นความต้องการอันดับต้นๆในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน
ในบรรดาเพื่อนทั้งหลาย มีนายพิชิต เพียงคนเดียวที่ยืนหยัดเป้าหมายกับเพื่อนๆว่า "ไม่ล่ะ กูสอบเข้าห้องศิลป์ดีกว่า" ว่าแล้วก็ถามผมว่าทำไมไม่สอบสายศิลป์ด้วยกันล่ะ.. ผมตอบไปว่า "แม่อยากให้ลองสอบเข้าสายวิทย์ดูก่อน"
ผมตอบเพื่อนไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่า ผมไม่มีทางประสบความสำเร็จในห้องสายวิทย์ที่เต็มไปด้วยสูตรคำนวณอะไรเทือกนั้น แต่เพราะแม่ขอร้องให้ลองสอบเท่านั้นเอง
นั่นเป็นครั้งเดียวมั้ง ที่แม่ขอร้องผมในเรื่องของการศึกษา.. เป็นเพราะได้ยินเพื่อนๆคุยกันว่า สายวิทย์มีอนาคตสดใสมากกว่าสายศิลป์ ที่เรียนจบแล้วไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร รับจ้างวาดรูปไปวันๆอย่างนั้นเหรอ? พอถึงวันประกาศผลการสอบ ปรากฏว่า นายพิชิต เป็นคนสุดท้ายที่ลากตัวเองไปดูผลการสอบ "ทำไมมึงมาเอาป่านนี้ว่ะ?" ผมถาม
"อ้าว! จะรีบมาทำไมล่ะ? ห้องกูเค้ารับ ๓๐ คน มีคนสมัครสอบอยู่ ๕ คน.. กูสอบไม่ติดก็บ้าแล้ว!!" พูดจบก็เดินไปยืนดูชื่อตัวเองที่ติดหราอยู่บนกระดานผลการสอบ ส่วนตัวผม.. หาชื่อตัวเองไม่เจอ
...
ในเวลาต่อมา ผมกลับไปสอบแย่งชิงเข้าสายศิลป์กับเพื่อนๆที่เหลือจนสำเร็จ
นั่นเป็นวาบความคิดแรกที่ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า เออ.. บางทีการรู้เท่าทันตัวเองและหาวิธีการที่เหมาะสมและไม่จำเป็นต้องคิดและทำเหมือนคนหมู่มาก น่าจะเป็นทางออกที่ดีของชีวิต แต่ความคิดเช่นนั้นดำรงอยู่ได้ไม่นาน เรื่องอื่นๆให้คิดตามประสาวัยรุ่นก็เข้ามาแทนที่
ตลอดเวลาในระบบการศึกษา.. ผมมีความรู้สึกความน้อยเนื้อต่ำใจที่นักเรียนสายศิลป์ถูกมองว่าเป็นนักเรียนชั้นสอง..
พอถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ยังมองว่าตัวเองเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชน สู้พวกที่เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้หรอก ถึงเรียนจบเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จเท่ากับพวกนั้น (พวกที่เอ็นฯติด)
แต่.. พอถึงวัยทำงาน เลี้ยงชีพ
เพื่อนผมหลายคนที่เคยถูกมองว่าไม่เอาไหน เรียนไม่เก่ง..กลับได้ดิบได้ดี สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ดีกว่าเพื่อนที่เรียนเก่ง
เพื่อนที่เรียกดีส่วนหนึ่งกลับเอาตัวไม่รอด บ้างจมหายไปในระบบราชการ บางคนเอาแต่เรียนจนเพิ่งจบเอาเมื่อเกือบจะอายุ ๔๐ ปี
ส่วนตัวผมเองก็ลุ่มๆดอนๆมาตลอด เพราะ -- พลังแห่งความคิดลบ
ผมคิดกับตัวเองมาตลอดว่า คนที่หัวไม่ดี.. ชีวิตก็คงได้เท่านี้แหละ ไม่มีทางลืมตาอ้าปากหรือมีเงินมีทองเหมือนคนอื่นเขา.. ความคิดทำนองนี้เกิดจากประสบการณ์จากครอบครัวและประสบการณ์ส่วนตัวตั้งแต่ในวันเด็ก
นักการศึกษาหลายท่านจึงเตือนว่า การเลี้ยงดูลูกในวัยทารกจนถึงวัยเด็ก เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะสมองและจินตนาการของเด็กในวัยนั้นเปรียบเสมือนฮาร์ตดิสที่ว่างเปล่า พ่อแม่และคนรอบข้างเท่านั้นที่สามารถใส่ข้อมูลที่ดีหรือไม่ดีลงไปได้ และประสบการณ์ในวัยเด็กจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต ความคิด ความสำเร็จหรือล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นทั้งชีวิต..ในอนาคต
เราทุกคนล้วนมีความทรงจำแย่ๆในวัยเด็ก เป็นจุดดำเล็กๆอยู่ในใจกันทุกคน
และเจ้าจุดดำเล็กๆที่คนส่วนมากไม่รู้จักนี่แหละ ที่เป็นตัวขัดขวางความสำเร็จ และคอยตอกย้ำความเชื่อที่ผิดๆ กำหนดบุคลิกภาพและสร้างความคิดที่จะทำให้กลายคนที่ล้มเหลวไม่รู้จักจบสิ้น
ผมมีประสบการณ์ในการสะกิดเอาบาดแผลและจุดดำในจิตใจออกจากความทรงจำให้เพื่อนบางคน และเขาสามารถกลับขึ้นมามีพลังและสร้างความสำเร็จอย่างที่คนอื่นคิดไม่ถึง
เป็นความสำเร็จด้วยวิถีทางของคนไม่เอาถ่าน..
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555
** ความลับ.. ของคนไม่เอาถ่าน **
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น