วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทำไมแม่ต้องทำให้หนูรู้สึกว่าหนูเอาเปรียบแม่มาตลอดคะ?

คราวหนึ่ง หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี ได้แสดงธรรมเทศนาแก่คณะครูอาจารย์และนักเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งเรื่องความกตัญญูของลูกที่มีต่อแม่ โดยได้ยกเอาเรื่องของอาจารย์ผู้หญิงคนหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่มาเล่าประกอบ

เธอคนนั้นเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า....

ครอบครัวของหนูยากจนมาก หนูอยู่กับแม่เพียงสองคน เราไม่มีญาติที่ไหนอีกเลย พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่หนูยังเล็กๆ แม่ทำงานเลี้ยงหนูมาด้วยความเหนื่อยยากลำบาก แม่ทำงานเป็นคนทำความสะอาดที่สำนักงานของรัฐแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าการงานของแม่ไม่มีเกียรติ แต่แม่พยายามที่จะสอนให้หนูรักษาเกียรติของลูกผู้หญิง และแม้ว่ารายได้ของแม่ไม่มาก แต่แม่ก็ไม่ยอมให้ลูกของแม่อดอยาก


ภาพที่หนูเห็นจนชินก็คือ ทุกเย็นเมื่อหนูกลับมาถึงบ้าน แม่จะมีอาหารไว้คอยท่าหนูอยู่แล้ว หนูแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แม่จะบอกหนูเสมอๆว่า ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องอย่างอื่น หน้าที่ของลูกตอนนี้คือเรียนหนังสือ ตั้งใจเรียนหนังสือก็พอ เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่เอง ซึ่งนอกจากค่าใช้จ่ายของหนูแล้ว หนูแทบไม่เห็นแม่ใช้จ่ายอะไรเพื่อตัวเองเลย

ตอนที่หนูสอบเอ็นทรานซ์ติด แม่ดีใจมาก แต่เราก็มีปัญหาเรื่องเงิน แม่ก็พยายามพูดให้หนูสบายใจว่า แม่จะหาเงินมาส่งลูกให้ได้เรียนจนจบแน่ ขอเพียงให้ลูกตั้งใจเรียนอย่างเดียวเท่านั้น

แม่หางานเสริมทำ กลับบ้านค่ำทุกวัน ทุกครั้งที่กลับมา แม่จะถืออาหารเย็นและของมื้อเช้าวันถัดไปมาด้วย แม่จะบอกให้หนูกินข้าว โดยไม่ต้องห่วงแม่ เพราะแม่อิ่มแล้ว เมื่อหนูกินเสร็จ แม่ก็บอกว่า "ไปอ่านหนังสือเถอะลูก เดี๋ยวแม่ล้างจานเอง"

มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันที่หนูต้องจำไปตลอดชีวิต เพราะมันเป็นพลิกชีวิตหนูให้อดทนต่อสู้ และทำความฝันของแม่ให้สำเร็จ ภาพของแม่ในวันนั้นคือ....

แม่กลับมาบ้านพร้อมถุงกับข้าวเป็นน้ำพริกปลาทู และบัวลอยเผือก แม่ยื่นถุงอาหารให้หนู พร้อมกับคำพูดที่แม่พูดให้หนูฟังมาเกือบทั้งปีคือ

กินเถอะลูก แม่อิ่มแล้ว” และต่อด้วย “ไปอ่านหนังสือเถอะลูก..เดี๋ยวแม่ล้างจานเอง

แต่พลันหนูนึกขึ้นได้ว่า จะขอเงินแม่เพิ่มเพื่อไปจ่ายค่ากิจกรรมในวันพรุ่งนี้ จึงตั้งใจจะไปบอกแม่ พอก้าวเข้าไปในครัว ภาพที่หนูเห็นคือ แม่กำลังเอาน้ำพริกที่เหลือจากหนู คลุกข้าวกิน แทะเล็มกินก้างปลาซึ่งเหลือเศษจากหนูอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ

หนูเข่าอ่อน วิ่งไปกอดแม่ ร้องไห้ ทำไมแม่ต้องทำกับหนูอย่างนี้ ทำไมแม่ต้องทำให้หนูรู้สึกว่าหนูเอาเปรียบแม่มาตลอด หนูรู้สึกผิดนะคะแม่ ที่หนูเอาเปรียบแม่อย่างนี้

ไม่ผิดลูก ไม่ผิด ลูกไม่ผิด แต่ลูกทำดีแล้ว” แม่พูดละล่ำละลัก พลางเอามือลูบหัวหนูอย่างอ่อนโยน

ลูกทำดีกับแม่มาตลอด ให้ลูกจำไว้นะว่าแค่ลูกตั้งใจเรียนหนังสือ จบออกมามีงานที่ดีทำ ไม่ต้องมาเป็นลูกจ้างคนอื่นให้ลำบากอย่างแม่ เท่านี้แม่ก็สุขใจแล้ว ลูกได้ชื่อว่าทำให้แม่หายเหนื่อยแล้ว...นะลูก!”

หนูจึงให้สัญญากับตัวเองและแม่ว่า จะตั้งใจเรียนหนังสือให้จบ จะทำงานเลี้ยงแม่ เพื่อผู้หญิงคนนี้ คนที่เสียสละเพื่อหนูมาตลอด

หนูยอมรับความเป็นจริงนะคะหลวงพ่อ ว่าเคยมีบ้างที่คิดจะหาความสะดวกสบายให้กับตัวเอง โดยยอมไปเป็นเมียเก็บของอาเสี่ย หรือแม้แต่จะขายตัว หนูก็เคยคิด แต่ด้วยเหตุการณ์ในวันนั้น มันทำให้หนูยั้งคิด รู้สึกกระดากอายที่จะเอาความภาคภูมิใจของแม่ไปทำให้แปดเปื้อน หนูตั้งใจว่าจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังและเสียใจในตัวหนู..”

วันที่เธอได้รับปริญญา เธอกับแม่มาเลี้ยงฉลองกันที่บ้าน โดยมีเพื่อนบ้านเพียงไม่กี่คนมาร่วมแสดงความยินดีด้วย เธอบอกว่าอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารมื้อแรกที่วิเศษสุดในชีวิตของเธอ แม่ได้ให้สร้อยคอทองคำหนักห้าสิบสตางค์พร้อมจี้หัวใจให้แก่เธอ

แม่ยอมเจียดเงินที่เก็บออมไว้ เพื่อมาซื้อของขวัญให้แก่เธอในวันนี้

เธอได้ทำงานเป็นครูสอนชั่วคราวในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง และเรียนต่อปริญญาโทด้วย เมื่อจบโทก็ได้บรรจุเข้าเป็นอาจารย์สอนให้วิทยาลัยครูจังหวัดเชียงใหม่ (สมัยนั้นยังไม่มีมหาวิทยาลัยราชภัฏ)

เมื่อเธอเล่าจบ..หลวงพ่อปัญญาได้สรุปตอนท้ายว่า “ลูกที่มุ่งสร้างสวรรค์น้อยๆ ขึ้นในใจพ่อแม่นั้น ก็เท่ากับได้ปิดประตูนรกให้แก่ตัวเองด้วยเช่นกัน

ขอบพระคุณหนังสือธรรมะอ่านสบาย - หลวงพ่อปัญญา 
ขออนุญาตเผยแพร่เป็นธรรมทาน 

กลอนจากพระสุวรรณวิมลศีล 

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=82110

ไม่มีความคิดเห็น: