ท่ามกลางเสียงแหกปากหน้าแถว
ของคนที่อุปโลกอำนาจให้ตัวเองนั้น
ผมสัมผัสได้ถึงความคิดซ้ำซาก
จากคนที่ปัญญาจะผ่านเทอมหนึ่งนี้ไปให้ได้
ยังเป็นเรื่องเครียด
จากคนที่ปัญญาจะผ่านเทอมหนึ่งนี้ไปให้ได้
ยังเป็นเรื่องเครียด
รุ่นพี่ปีสองที่ไม่เคยทำงานร่วมกับใคร
มากไปกว่าเด็กม.ด้วยกันยืนว้ากน้องอยู่หน้าแถว
น้อยคนที่จะสัมผัสชีวิตในสังคมจริง ๆ ที่ไม่ใช่งานพาร์ทไทม์
แต่กลับพูดจาเหมือนผ่านโลกมาเยอะซะเต็มประดา
สิ่งที่พวกเขาพร่ำพูด
คือเรื่องความกดดันที่จะทำให้ทนทานต่อเจ้านาย
มารยาทที่ควรมีต่อคนอาวุโสกว่า
ความมีระเบียบวินัยในฐานะนักศึกษา
พวกเขากำลังเล่านิทาน
กำลังพูดถึงโลกที่พวกเขาไม่เคยมี
ผมไม่ได้อะไรจากการรับน้องด้วยระบบโซตัสกาก ๆ ที่ัรับมา
โดยไม่สามารถอธิบายได้มากกว่าคำว่า ทำตามกันมา
หรือคนอื่นเขาทำกันได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้
แต่ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัย ผมได้อะไรเยอะชิบหาย
มันเป็นสิ่งที่รุ่นพี่ไม่เคยสอน ทั้งที่มันใกล้ตัวกว่าสังคมภายนอกเยอะ
สายตายาวไปนะ มองไปถึงตอนทำงานโน่น ....เอาแค่เรียนให้จบมั้ย
และนี่ คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ระหว่างการเรียนมหา'ลัย
1. ตื่นเช้าเป็นลาภอันประเสริฐ
ผมเป็นคนนอนดึก เสพติดหลายอย่างจนเลยเวลานอนบ่อย ๆ
และการตื่นเช้าเป็นอะไรที่น่ารังเกียจมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ต้นแล้ว
การที่ต้องแหกขี้ตางัวเงีัยไปร้องเพลงชาติเป็นอะไรที่ผมไม่ยินดีจะทำที่สุด
ตอนเรียนปวช.ผมไม่ผ่านกิจกรรม เพราะไม่เคยมาเข้าแถวตอนเช้าเลย
พอขึ้นอุดมศึกษาผมก็ทำสันดานเดิม ๆ คือมาเรียนสายบ้าง ขาดคาบเช้าบ้าง
มันเป็นความชิบหายของชีวิต เพราะวิชาสำคัญของผมไปกองรวมกันในคาบเช้า
แค่ผมมาสายเพื่อนก็ทำควิชไปหมดแล้ว
แค่ผมมาสาย งานพรีเซนต์เดียวก็จบไปแล้ว
แค่ผมมาสาย อาจารย์สั่งงานและปล่อยกลับไปหมดแล้ว
การมาสายเป็นความชิบหายของชีวิต
ผมลำบากเพราะมาสายหลายครั้ง
จนเห็นความสำคัญของการมาหอบสังขารมาเรียนเช้า
สิ่งนี้รุ่นพี่ไม่สอน - สอนแค่ว่า มาสายไปหมอบ หงาย กางมุ้ง ลุกนั่ง อิช ๆ ๆ ๆ ใช้แรงแบบวัวแบบควายแล้วมาอ้างทีหลังว่าจุดประสงค์จริง ๆ ก็ึืคือการมาตรงเวลานะคเอะ คร้วย พูดดี ๆ ก็ได้ คนนะไม่ใช่ควายไอ้สัส
2. การไหว้เขาให้เกียรติตัวเราเอง
ผมเป็นคนมือแข็ง แม่ผมผมยังไม่หวัดดีเลย หวัดดีทำไมวะเจอหน้ากันทุกวัน
เลยเป็นคนไปไหนไม่เคยไหว้ใคร ถ้าแม่งไม่สำคัญจริง ๆ
แต่สังคมก็ตบหน้าผมด้วยการให้คนอื่นมาไหว้ผม
จำเป็นต้องรับไหว้กลับ เพราะการเฉยใ่ส่
เป็นอะไรที่เหี้ยมาก ซึ่งผมก็คิดแบบนั้นจริง ๆ เวลาที่ไหว้ใครแล้วแม่งเฉยใส่
แล้วพอเจอคนไหว้บ่อยเข้า ๆ ผมไหว้คนอื่นบ้าง
เพราะเริ่มคิดแล้วว่า การไหว้เป็นการให้เกียรติตัวเราเอง
จากที่เห็นคือ เขาไหว้เรา ทำให้เขามีเกียรติในสายตาเรา
น้องคนนี้ดีว่ะ น่ารักว่ะ ไหว้กูตลอดเลย
ในทางกลับกัน การที่เราไหว้คนอื่นก็ทำให้เรามีเกียรติในสายตาคนอื่นเช่นกัน
เราก็เป็นคนดีคนน่ารัก อ่อนน้อมตามขนบสังคม
แม้แต่คนงานชาวเขาชาวพม่าที่เขาไมไ่ด้เรียนมหาลัยสูง ๆ
เขาเจอผมเขาไหว้ตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูเลย แม่งโคตรดีอะ
ไม่เห็นต้องมีใครไปบังคับเลย มันเกิดขึ้นเองตามสามัญสำนึก
เลยเป็นคนไปไหนไม่เคยไหว้ใคร ถ้าแม่งไม่สำคัญจริง ๆ
แต่สังคมก็ตบหน้าผมด้วยการให้คนอื่นมาไหว้ผม
จำเป็นต้องรับไหว้กลับ เพราะการเฉยใ่ส่
เป็นอะไรที่เหี้ยมาก ซึ่งผมก็คิดแบบนั้นจริง ๆ เวลาที่ไหว้ใครแล้วแม่งเฉยใส่
แล้วพอเจอคนไหว้บ่อยเข้า ๆ ผมไหว้คนอื่นบ้าง
เพราะเริ่มคิดแล้วว่า การไหว้เป็นการให้เกียรติตัวเราเอง
จากที่เห็นคือ เขาไหว้เรา ทำให้เขามีเกียรติในสายตาเรา
น้องคนนี้ดีว่ะ น่ารักว่ะ ไหว้กูตลอดเลย
ในทางกลับกัน การที่เราไหว้คนอื่นก็ทำให้เรามีเกียรติในสายตาคนอื่นเช่นกัน
เราก็เป็นคนดีคนน่ารัก อ่อนน้อมตามขนบสังคม
แม้แต่คนงานชาวเขาชาวพม่าที่เขาไมไ่ด้เรียนมหาลัยสูง ๆ
เขาเจอผมเขาไหว้ตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูเลย แม่งโคตรดีอะ
ไม่เห็นต้องมีใครไปบังคับเลย มันเกิดขึ้นเองตามสามัญสำนึก
ส่วนใครที่ไม่ไหว้ เขาไม่เคร่งเรื่องนี้ เราก็เฉย ๆ กับเขา
ไม่ได้เรียกร้องความเคารพจากเขา ในเมื่อเราไมไ่ด้มีบุญคุณอะไรกับเขา
แถมบางทีเหี้ยให้เห็นด้วย จะไม่ไหว้ก็ถูกต้องแล้ว
สิ่งนี้รุ่นพี่ไม่สอน - บังคับให้กูไหว้งก ๆ ไม่ไหว้ก็มางิดใส่
สิ่งนี้รุ่นพี่ไม่สอน - บังคับให้กูไหว้งก ๆ ไม่ไหว้ก็มางิดใส่
บางคนน้องมาไหว้ทำเฉยใส่ หยิ่งใส่ น้องมันจะอยากไหว้มึงมั้ย
บางคนอ้างว่าไม่ทันเห็นมั่ง ทำอย่างอื่นอยู่มั่ง
มึงไม่ใส่ใจในความเคารพแล้วจะเรียกร้องให้คนอื่นใส่ใจได้ยังไงละครับแหม่
3.ขาดเรียนหนึ่งคาบดับเป็นลูกโซ่
ผมไม่ได้เรียนคาบแรกของเช้าวันเปิดเทอม เพราะคิดว่าคงไม่สำคัญ
กลายเป็นว่าอาจารย์สั่งงานตั้งแต่คาบแรก และคายต่อไปคือการเอาชิ้นนั้นมาทำต่อยอด
มันชิบหายมากถ้าคุณขาดโซ่ไปข้อหนึ่ง มันทำให้ต่ออีกข้อไม่ได้ไปโดยปริยาย
ผมต้องมานั่งปั่นย้อนหลังซึ่งอาจารย์จะรับมั้ยก็เป็นสิ่งที่ต้องลุ้นยิ่งกว่าหวยออก
นี่แหละครับชีวิตการทำงาน คุณขาดงานขาดประชุมครั้งหนึ่ง แทบจะโบกแท็กซี่แว้นตามกันเลยทีเดียว โครงการบินไปไหนต่อไหนแล้วไม่รู้จากการแค่ประมาทไปครั้งเดียว อย่าคิดนะว่าประชุมชักช้ายืดยาดไม่คืบหน้าไม่มาสักครั้งก็ไม่ตาย ใครจะรู้เกิดจะรวบรัดเบ็ดเสร็จอนุมัติไปแล้วโดยที่เราไม่ได้รับรู้เลย มันชิบหายขนาดไหน
สิ่งนี้รุ่นพี่ไม่เคยสอน - รุ่นพี่สอนแค่ว่า ใครไม่มารับน้อง!! คุณไม่รักเพื่อนใช่มั้ย!!!
ผมนี่แทบจะกราบอาจารย์เป็นแม่อยู่แล้ว
แล้วก็ด่าคนที่ไม่มาให้คนที่มาฟัง เพื่ออออออ ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่า
มาเรียนสายจะชิบหายกว่าที่คิด ขาดเรียนไปคาบดับจนตัวตาย
แค่พูดอธิบายให้ดูฉลาด ๆ สมเป็นรถ่นพี่หน่อย ไม่ต้องเอามาฝึกในกิจกรรมรับน้องก็ได้
แค่พูดอธิบายให้ดูฉลาด ๆ สมเป็นรถ่นพี่หน่อย ไม่ต้องเอามาฝึกในกิจกรรมรับน้องก็ได้
เดี๋ยวแม่งรู้เอง แล้วซึ้งกว่าเยอะ
4. กฏแห่งกรรม มีอยู่จริง
และอาจารย์คือผู้ตอบรับกฏนั้น งานไม่ส่ง
และอาจารย์คือผู้ตอบรับกฏนั้น งานไม่ส่ง
ไม่เข้าเรียน สอบคะแนนไม่ถึง
ไม่เคยมาช่วยกิจกรรมสาขาเลย
ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ แดก F ไป
ต่อให้คุณจะไปขอร้องอ้อนวอนครูอย่างไร
ทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาครูเอาไว้
ประนมสองมือขึ้นกราบกรานขอผ่านได้มั้ย
มันคงไม่มีประโยชน์และคุณต้อง F ไป
เหมือนผม ผมเฉียด F อย่างบ่อย
ผมนี่แทบจะกราบอาจารย์เป็นแม่อยู่แล้ว
คือผมเหลวไหล ตื่นสายไม่ไปเรียน งานไม่ส่ง
เพราะไม่ชอบวิชานี้ขี้เกียจทำ
ไปหวังเกาะบุญโปรเจคใหญ่ปลายเทอม กับการสอบเอา
สุดท้ายคะแนนไม่ถึง ต้องไปเว้าวอนอาจารย์ว่าขอแค่ผ่านได้มั้ย
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่มีความดีพอจะไปต่อรอง
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่มีความดีพอจะไปต่อรอง
เคราะห์ดีว่าผมเป็นเด็กกิจกรรม
มาช่วยชมรมอาจารย์ตลอด
อาจารย์เลยสงสารให้ผมสอบใหม่
คือดันสุดชีวิตเพราะคะแนนหวิดไปเยอะ
อาจจะเหมือนใช้เส้นนะ
แต่มันเป็นแบบนี้จริง ๆ
จะบอกว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้
เพราะกว่าอาจารย์จะรักเท่าวันนี้
ก็ทุ่มเทอะไรไปเยอะเหมือนกัน
กฏแห่งกรรมแต๊ ๆ
สิ่งนี้รุ่นพี่ไม่เคยสอน - รุ่นพี่เสี้ยมให้เกลียดชมรมอาจารย์ด้วยซ้ำ เสี้ยมให้แิอนตี้อาจารย์คนนี้่ ขุดสาวเรื่องราวสารพัดมาโจมตี แต่ผมคิดว่าแม่งไม่เกี่ยวกับผมเลยว่ะ แล้วผมก็ไมไ่ด้เข้าชมรมอาจาย์หรือไปมุทำกิจกรรมไม่ลืมหูลืมตาจนเรียนไม่จบด้วย ผมแค่ทำเท่าที่ทำได้ สบายใจสองฝ่ายก็พอ แล้วกฏแห่งกรรมรุ่นพี่ก็ไม่ได้สอนไว้ สอนแค่ว่าให้ไหว้ศาล ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนบานศาลกล่าวถวายตัวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำคณะ อะไรที่มันไม่มีก็ไปสร้างให้มันมี โดยที่ไม่บอกเลยว่าสุดท้ายแล้ว มึงจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ผลกรรมที่ทำไปในตลอด 4 ปี
ขยันรอด ขี้เกียจร่วง
หลักการง่าย ๆ ที่ไม่มีใครให้ความสำคัญ
คำว่ากฏแห่งกรรม ผมได้มาจากอาจารย์สอนวิชาประชมคมโลกตอนปีหนึ่ง
ท่านบอกว่าวิชานี้นิกเนมคือวิชากฏแห่งกรรม
และวิชานั้นผมได้ขึ้นสวรรค์ไปนอนกอด A แจ้
5. ทำกิจกรรมมาก ๆ จบยากจบเย็น
การศึกษาทำให้คนรู้จักงาน แต่กิจกรรมทำให้คนทำงานเป็น
จริงครับอันนี้ เพราะทำละครเวทีสักเรื่องนี้รู้เรื่องเลยนะ
ใครจะทำงานเป็นหรือเป็นตัวถ่วงวัดจากกิจกรรมกลุ่มใหญ่ ๆ นี่แหละ
แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่รุ่นพี่จะเอาไว้เกณฑ์น้องมาร่วมรับน้อง
เพื่อจะช่วยดุนส้นตีนให้พี่ดูสูงขึ้นนะครับ
กิจกรรมในมหาลัยมีเยอะแยะหลากหลาย
อย่างที่ม.ผมก็มีชมรมทูบีนัมเบอร์วัน กิจกรรมเยอะเมิ้กกกกกกกก
แล้วท่าทางสนุกสนานทุกคนทำงานเป็น บุคลิกภาพดี สุขภาพจิตดี
แล้วท่าทางสนุกสนานทุกคนทำงานเป็น บุคลิกภาพดี สุขภาพจิตดี
แต่ผลข้างเคียงคือ ทำกิจกรรมมากเกินไปจนเบียดเวลาเรียน
มาเรียนไม่ได้ ขาดเรียนเพระาไปต่างจังหวัด วันโปรเจคใหญ่ ๆ ก็ไปช่วยงานชมรมจนไม่สามารถมาร่วไมได้
ไปฝึกงานช้ากว่าเพื่อนเพราะตรงกับช่วงไฮของชมรม
เด็กทูบี จากเอกผมนี่แต่ละคนจบช้าทั้งนั้น
ไม่ใช่เพราะชมรมครับ ชมรมไม่ผิดเค้ามีระบบของเค้า
แต่เราบริหารไม่ดีเอง ทำให้ต้องเลทไปสองสามปีเลย
บางคนต้องลงเรียนใหม่ กว่าจะจบได้ มาเป็นคนเฒ่าในชั้น
ดังนั้นทำกิจกรรมเฉพาะหลัก ๆ ที่ควรจะำำทำก็พอครับ เช่นกิจกรรมมหาลัย
กิจกรรมคณะ กิจกรรมของสาขา เพราะนาน ๆ จะมีสักครั้ง
อย่าไปทุ่มเท่กับกิจกรรมากเกินไปเพราะหวังว่าอาจารย์จะช่วย
อาจารย์ชมรมไม่ได้สอนทุกวิชาสักหน่อยครับ
แถมบางทีโดนท่านอื่นเขม่นด้วยว่าทำกิจกรรมจนเบียดเวลาเรียน มันจะแย่เอานา
ผมรักงานวิทยุมาก แต่ผมต้องออกจากชมรมนักจัดรายการเพราะเรียนหนักแถมต้องทำงานจริงตอนเย็นด้วย ค่าเทอมนี่จ่ายเองนะ ก็เลยต้องทิ้งมันไป แล้วไปทำของจริงเบย แง
สิ่งนี้รุ่นพี่ไม่เคยสอน - เพจวิวาทะเคยควอทข้อความของรุ่นพี่คนหนึ่งมาว่า อย่าให้การเรียนมาทำให้กิจกรรมเสีย พ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
แถมรุ่นพี่มีสาขาผมให้คำขวัญมาด้วยนะว่า กิจกรรมดี กิจกรรมเด่น เน้นกิจกรรม
ถามว่าคนพูดว่าจะจบก็อ๊ะละอยู่....
6. อาจารย์คือบอสสสสส บอสคะ!!!!
ใครที่ต่อต้านอาจารย์ มึงอยู่ยากแน่ บางคนถึงกับย้ายเอกเพราะไม่ชอบอาจารย์เสียทั้งเวลาและอนาคต
ต่อให้เราจะไม่ชอบ หมั่นไส้ หรือรังเกียจแค่ไหน แต่สุดท้ายเค้าก็คือคนที่รับผิดชอบอนาคตของเรา
และส่วนหนึ่งเราก็ต้องรับผิดชอบอนาคตตัวเองด้วยเหมือนกัน มันทำให้ผมค่อนข้างจะใส่ใจในการเข้าหาอาจารย์ พูดคุยปฏิสัมพันธ์กับท่าน
ไม่งั้นเราจะไม่รู้ว่าท่านคิดยังไง เห็นยังไง ตั้งใจยังไง
พอไม่รู้เราก็คิดจินตนาการไปเองว่าอาจารย์ต้องแบบนั้นแบบนี้
อาจารย์แม่งเป็นเกย์ ชอบแต่เด็กผู้ชาย อาจารย์แม่งม่อ สาว ๆ ถึงจะใส่ใจ
และความคิดสารพัดต่าง ๆนานาในแง่ลบก็จะประเดประดังถมเราไว้ใต้ดิน
จนไม่ได้โงหัวขึ้นทำอะไรให้มันพัฒนาตัวเอง
หรือบางคนก็เข้าใจผิด ตีสนิทอาจารย์จนเกินไปเพื่อหวังคะแนนดี ๆ อันนี้ก็ผิดนะครับ
พูดคุยพอแค่เข้าใจ ไม่ต้องไปเป็นลูกเค้าก็ได้แหม่ มันทำให้เรากลายเป็นเด็กเส้น
และอาจารย์ก็จะดูลบไปด้วย ซึ่งแย่มาก
สงสัยให้ถาม ทำตามอย่าบิดเบือน
อาจารย์ไม่ใช่เพื่อน แต่ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่
สร้างสรรค์ได้แต่พอดี มีความขวนขวายฝักใฝ่
อาจารย์ก็พร้อมจะให้ จงใส่ใจในวิชา
เล่นตามเกมครับ แล้วจะอยู่ได้ง่าย อย่าทำตัวกบฏต่อต้านอาจารย์
สิ่งนี้รุ่นพี่ไมไ่ด้สอน - ผมมีรุ่นพี่สอนให้เกลียดอาจารย์ แบ่งฟากแบ่งฝ่ายและให้ร้ายไม่ซ้ำคำ โดยไมไ่ด้สำนึกเลยว่าอาจารย์คือที่สุด ความดีของท่านคือให้่วิชากับเรา อยู่ที่เราจะตักตวงได้มากแค่ไหน แต่รุ่นพี่ผมนินทาอาจารย์ ไปเรียนมั่งไม่เรียนมั่ง สุดท้ายไม่จบ ก็โทษอาจารย์คนนั้นว่าไม่ให้เกรด
ทั้ง ๆ ที่มีรุ่นพี่ที่แก่กว่าหลายคนสำนึกบุญคุณอาจารย์ที่แกช่วยเหลือจนเราเป็นบัณฑิตได้ในที่สุด พวกเขากลับไม่มองคุณูปการในชีวิตการศึกษาเลย
เออมันก็จริงนะ ที่อาจารย์บางคนก็ทำตัวกาก ๆ ไม่สมฐานะ แต่หน้าที่ของเราคือไปเรียนกับเค้า เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด สิ่งนี้กลายเป็นว่ามันสอนให้เรารุ้จักยอมร่วมงานกับคนที่ไม่ชอบในสถาการณ์ที่เลือกไม่ได้
แต่ถ้าเรามีตัวเลือก เราก็สามารถเรียนกับคนอื่นได้ เหมือนกับการที่เราลาออกเปลี่ยนเจ้านายนั่นเอง
7. เป็นบัณฑิตไม่ใช่เรื่องง่าย
ใครบอกป.ตรีกากจบสบาย ๆ เรียน ๆ หลบ ๆ ก็จบไปเอง ผมขอสาปแช่งให้มึงเรียนแปดปี
การจะเป็นบัณฑิตได้ผมต้องผ่านห้วงทรมาณหลายห้วงด้วยกัน และถ้าเทียบกับสาขาอื่น ๆ แล้ว
นับว่าเบากว่ามาก แต่ก็หนักแบบขุนเขาอยู่ดี
ผมมีห้วงนรกอยู่สี่ห้วง
1. ละครเวที
ปีสองผมเจอไอ้เหี้ยเอ๊ยกดดันบีบคันหัวใจชิบหายกว่าจะผ่านไปได้ ใช้เงินก็เยอะ ใช้เวลาก็เยอะ ดราม่าก็เยอะ หมดเรี่ยเวปลืองแรงจนไม่สนุกกับมันเลย ถือเป็นวิบากกรรมสุด ๆ แต่มันก็สอนให้เราทำงานตามหน้าที่และร่วมทีมกับคนอื่นได้ คือผมจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าหน้าที่เป็นหน้าที่ ผมไม่ชอบการทำงานแบบจับฉ่าย ไม่ทำอะไรไปให้กำลังใจก็ยังดี ผมคิดว่ามันไร้สาระกับการที่นั่งดูเพื่อนทำงาน เราสามารถแยกไปทำแล้วก็ส่งชิ้นงานให้ได้โดยไม่ต้องมาสุมหัวกัน แต่สุดท้ายแล้วมันก็สอนให้รู้่ว่างานบางอย่างมันต้องคุยกัน ประสานงานกัน หาข้อสรุปร่วมกันตรงนั้น ไม่สามารถจะแยกย้ายทำใครทำมันได้ มันจึงเรียกว่างานกลุ่ม
2. โปรเจคบริษัท
อาจารย์จะให้เราสมมติบริษัทขึ้นมาและโปรดัคชั่นกันเอง นำเสนอพรีเซนต์ทำสื่อ และไปรีโนเวทร้านกาแฟ มันเป็นอะไรที่ปวดใจมากสำหรับผม คือเอามาเล่าเนี่ยมันไม่ได้ให้นรายละเอียด แต่ไปทำจริงแม่งเค้นหัวใจมาก ทั้งทำหนังสั้น ทำสปอต ทำไวนิล ไปจัดสวนแต่งร้านให้เค้าใหม่ เจ้าของร้านก็ดูไม่ค่อยจะเต็มใจให้ช่วยเพราะเค้าดีอย฿ู่แล้ว ก็ต้องไปหน้าด้านขอทำ แล้วออกมา คะแนนโคตรต่ำ ต่ำจนไม่ผ่านต้องไปกราบกรานขอสอบใหม่
เป็นอะไรที่ปวดตับมาก
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรร่วมทีมกับคนที่ทำงานเป็น ไม่ใช่คนที่มารวมตัวกันเพราะไม่มีที่จะไป และควรทำตัวให้มีคุณค่าและความสามารถไม่ใช่แรงงานไร้ฝีมือกระจอก ๆ ไม่งั้นจะถ่วงทีม
3. ฝึกงาน
การฝึกงานไม่มีอะไรยากสำหรับผม ผมจะขอบรรจุตำแหน่งที่ผมถนัดทันทีที่ผมไปฝึกงาน แล้วก็ทำหน้าที่นั้นเรื่อยไปจนจบซีซั่น แต่ความนรกอยู่ที่สารานิพันธ์จบฝึกงานที่ต้องสรุปทุกอย่างออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องถูกต้องครบถ้วนแบบเป๊ะ ผ่านด่านเยอะแยะมากมาย ตรวจแก้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เจอข้อผิดทีละจุด ๆ แกทีละจุด เทียวไปเทียวมาบางคนเอาไปทำที่ตึกเลยก็มี
เพระาอาจารย์ที่อนุมิตตรวจคือเจ้าพ่อปรู๊พ เทพพิสูจน์อักษร ท่านไมไ่ด้ดูแค่คำผิด แต่ดูถึงย่อหน้าและคำบรรยายภาพด้วย คำบรรยายภาพต้องบอกว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรชัดเจน ผมนี่โดนแก้จนหมดโควต้าอะ หมดแบบทิ้งโค้งก็ยังไม่ผ่าน ต้องเลทของเลทไปอีกทีกว่าจะผ่านได้ แม่งโคตรละเอียดเลยครับทั่น นี่แหละคือสิ่งที่โคตรวิบากกรรม
บางคนอาจจะมองง่าย ว่าแค่ทำให้มันถูก แต่กับผมแล้วไอ้เหี้ยยยย อะไรนักหนาวะะะะะะ
4. วิจัย
ผมไม่ต้องทำทีสิสครับ แต่ต้องทำวิจัยที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับทีสิส ต้องสำรวจข้อมูลจริง ทำการทดลองจริง สุ่มกลุ่มตัวอย่างจริง ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง คำนวนค่าเฉลี่ยด้วยโปรแกรมนู่นนี่ สรุปทุกอย่างเป็นเล่มที่โคตรสมบูรณ์เพอร์เฟค ซึ่งตะเกียกตะกายมากกว่าจะผ่าน ผมติดไอ ติดจนไอเป็นเลือด กว่าจะผ่านได้
แล้วมันก็ทุกทนจนไม่อยากจะจำ ความทรงจำในการทำวิจัยเลยขาวโบ๋ ไม่สามารถแนะนำใครได้ รู้แค่ว่ามันเห้มาก อยากให้ลอง
นี่แค่ของผม เบาะ ๆ เบา ๆ จบออกมาได้ตามเกณฑ์ปกติ ถึงผมจะเรียนช้าแต่ผมไม่เคยซิ่วเคยดรอปเปลี่ยนสายย้ายเอก เรียนมัธยม 3 ปี อาชีวะ 5 ปี เป็นทหาร1 ปี อุดมศึกษา 4 ปี กว่าจะจบกู 25 แระ.........
แต่คนอื่นต้องเรียนหลายปี ถาปัตย์ 5 ปี เภสัชเรียน 6 ปี หมอเรียนกี่ปี....
ผ่านความทุกทนทุกวันทุกวีคจนชาชินเป็นเรื่องปกติ
ยิ่งถาปัตย์ช่วงโปรเจควีคนี่ทำให้คนเป็นว้อได้ง่าย ๆ เลยนะครับ
แทบจะหายเข้าห้องกาลเวลาไปเลยไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ชีวิตมีแต่งาน ๆ ๆ เต็มไปหมด
สิ่งเหล่านี้รุ่นพี่ไม่ได้สอน - สอนเรื่องนอกรั้วมหาลัยโน่น สอนว่าเจ้านายดุ สังคมทราม โลกอยู่ยาก บลา ๆ ๆ ทั้งที่ตัวเองก็อ๊บ ๆ ในกะลา ไม่เคยไปทำงานร่วมกับใครเลย ทำไมไม่แนะนำชีวิตในมหาลัยล่ะครับว่าต้องทำอะไรบ้าง วิชาตัวไหนเรียนยังไง อาจารย์แต่ละคนเป็นยังไง นี่เอาแต่ฝึกแถว ๆ หมอบ ๆ ลุก ๆ ยังกะนักศึกษาวิชาทหาร
มันไม่ใช่เรื่องเลยที่เราต้องจ่ายค่าเทอมแล้วมาทำอะไรงง ๆ แบบนี้
น่าสลดใจที่บางมหาวิทยาลัย เป็นสถาบันใหม่เพิ่งก่อตั้ง
น่าเสียดายที่บางคณะ เป็นคณะที่เพิ่งเปิด
น่าเสียดายที่บางสาขา เพิ่งใหม่แกะกล่อง
แต่กลับรับเอาวัฒนธรรมโบราณ ๆ อย่างระบบโซตัส
น่าเสียดายที่บางคณะ เป็นคณะที่เพิ่งเปิด
น่าเสียดายที่บางสาขา เพิ่งใหม่แกะกล่อง
แต่กลับรับเอาวัฒนธรรมโบราณ ๆ อย่างระบบโซตัส
มาใช้ในลักษณะกดหัวรุ่นน้อง
ทั้งที่มีสิทธิ์คิดสร้างธรรมเนียมใหม่ ๆ ได้่ด้วยตัวของคุณเอง
ศักยภาพวัดกันตรงนี้แหละครับ จะสอนคนอื่นได้ ต้องเริ่มที่ตัวเอง
การกระทำมีค่ากว่าน้ำลายนะครับ
ศักยภาพวัดกันตรงนี้แหละครับ จะสอนคนอื่นได้ ต้องเริ่มที่ตัวเอง
การกระทำมีค่ากว่าน้ำลายนะครับ
รุ่นพี่ทุกท่านครับ ท่านเป็นรุ่นใหม่ ถึงเวลารึยังที่จะให้อะไรใหม่ ๆ กับรุ่นน้ิอง
อย่าให้เป็นเหมือนสิ่งที่ผมเจอมา ผมไมไ่ด้บอกว่าทุกสถาบันเป็นแบบผมหมด
แต่รูปแบบไม่ค่อยแตกต่างกันเลยนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น