| ||
ใครๆ ก็อยากที่จะมีสมองที่ดี และมีสมาธิในการทำงานกันทั้งนั้น และวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เกิดสมาธิที่ดีได้นั้นก็ทำได้ง่ายๆ เพียงเน้นการรับประทานอาหารในบางประเภท และหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง ก็จะช่วยสมองให้ทำงานอย่างสมบูรณ์ ก่อให้เกิดสติ มีสมาธิ ตื่นตัวเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น มีความจำที่ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของระบบสมองทั้งความคิดและวิเคราะห์
• อาหารและเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชาดำ ชาเขียว โกโก้ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต ซึ่งจะมีสารกาเฟอีนประกอบอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เช่น กาแฟจะมีสารกาเฟอีนสูงกว่าชาเขียว สารกาเฟอีนหากได้พอเหมาะจะช่วยให้เกิดการตื่นตัวและสดชื่น หากได้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้กาเฟอีน เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วและปวดหัวได้
• น้ำตาลกลูโคสซึ่งไม่ใช่น้ำตาลทราย แต่เป็นน้ำตาลที่มาจากการย่อยอาหารพวกข้าว แป้ง นม ผลไม้ เนื่องสมองของคนเรานั้นต้องการน้ำตาลในการทำงาน ผู้ที่ทำงานหนักโดยขาดน้ำตาล เช่น ไม่กินข้าว ไม่กินแป้ง ไม่กินผลไม้ มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย มักจะเกิดความมึนงงได้ง่าย และหากได้ผลไม้หรือน้ำผลไม้ก็จะทำให้สดชื่นขึ้น จากการศึกษาพบว่าเด็กๆ ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าจะมีสมาธิในการเรียนที่สั้นกว่า และผลการเรียนที่น้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า เนื่องจากข้าว แป้งที่รับประทานเข้าไปจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลกลูโคส ข้อที่ต้องระวัง คือ การกินอาหารประเภทข้าว แป้ง และน้ำตาลที่มากเกินไปก็จะไม่ดีเช่นกันเพราะน้ำตาลที่เกินกว่าความต้องการของร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันแทนที่
• ปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลากะพง ปลาแซลมอน จะมีสารโอเมก้า-3 สูงที่ช่วยเพิ่มความจำ และในเด็กเล็ก 0-5 ปี สารโอเมก้า-3 นี้ จะเป็นตัวที่เพิ่มการพัฒนาการของสมองที่ช่วยในด้านความจำและการเรียนรู้ สำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสารโอเมก้า-3 จะช่วยลดการเกิดโรคสมองเสื่อมและเส้นเลือดสมองตีบ คนในประเทศญี่ปุ่นที่มีการกินปลาที่มีสารโอเมก้า-3 สูง พบว่า การทำงานของสมอง และความจำ รวมถึงการมีสมาธิในการทำงานจะดีกว่าคนที่ไม่ได้รับสารโอเมก้า-3 ตามข้อแนะนำของสมาพันธ์โรคหัวใจและหลอดเลือดสมองแนะนำให้กินปลาที่มีสารโอเมก้า-3 อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
• กินอาหารที่มีไขมันและน้ำมันที่ดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดเฟล็ก ไขมันจากถั่วเปลือกแข็ง ไขมันจากผลอะโวคาโด ไขมันและน้ำมันเหล่านี้จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนภายในร่างกายได้ดีและเมื่อเลือดหมุนเวียนได้ดีสมองก็จะได้รับเลือดและออกซิเจนที่เพียงพอ ทำให้การทำงานได้ดี และอาหารกลุ่มนี้จะมีวิตามินอีที่เป็นตัวช่วยในการบำรุงสมอง ส่วนไขมันบางประเภทเช่นไขมันที่มาจากสัตว์ เช่น ไขมันหมู ไขมันไก่ ไขมันวัว และไขมันจากน้ำมันทอด จะเป็นอีกกลุ่มไขมันที่ไม่ดีและไม่ควรที่จะกินบ่อยเนื่องมาจากไขมันกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มไขมันอิ่มตัวและมีคอเลสเตอรอลสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ง่ายและก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือดสมอง
• ผัก ผลไม้ที่มีสีม่วงเข้ม เช่น องุ่น บลูเบอร์รี ลูกพรุน ลูกหม่อน ลูกหว้า มะเขือม่วง ข้าวโพดม่วง ดอกอัญชัน จากการศึกษา พบว่า สารที่ม่วงที่มีอยู่ในผักและผลไม้ จะช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการถูกทำลายของสารอนุมูลอิสระซึ่งได้แก่ ควันเสีย ความร้อน ความเครียด ซึ่งอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายสมองและลดความสามารถของสมองและสมาธิลง จากการศึกษายังพบด้วยว่าสารสีม่วงนี้จะช่วยเพิ่มระบบการเรียนรู้ของสมอง และทำให้ความคิดเฉียบแหลม
• น้ำเปล่า เนื่องจากสมองต้องการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงและทำงานอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราขาดน้ำจึงมักจะมีอาการปวดหัว เป็นไข้ มึนงง คิดอะไรไม่ออก ดังนั้น ผู้ที่ต้องนั่งทำงานที่ต้องใช้สมาธิควรจะมีน้ำหรือเครื่องดื่มวางไว้ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้จิบเมื่อเวลาที่สมองต้องการ และพยายามอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
จะเห็นได้ว่าอาหารมีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นและมีสมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้น หากแต่ว่าอาหารที่ดีทั้งหลากหากได้มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้คำว่าพอดีสำหรับอาหารแต่ละประเภทก็จะทำให้สุขภาพร่างกายและสมองดี
• อาหารและเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชาดำ ชาเขียว โกโก้ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต ซึ่งจะมีสารกาเฟอีนประกอบอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เช่น กาแฟจะมีสารกาเฟอีนสูงกว่าชาเขียว สารกาเฟอีนหากได้พอเหมาะจะช่วยให้เกิดการตื่นตัวและสดชื่น หากได้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้กาเฟอีน เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วและปวดหัวได้
• น้ำตาลกลูโคสซึ่งไม่ใช่น้ำตาลทราย แต่เป็นน้ำตาลที่มาจากการย่อยอาหารพวกข้าว แป้ง นม ผลไม้ เนื่องสมองของคนเรานั้นต้องการน้ำตาลในการทำงาน ผู้ที่ทำงานหนักโดยขาดน้ำตาล เช่น ไม่กินข้าว ไม่กินแป้ง ไม่กินผลไม้ มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย มักจะเกิดความมึนงงได้ง่าย และหากได้ผลไม้หรือน้ำผลไม้ก็จะทำให้สดชื่นขึ้น จากการศึกษาพบว่าเด็กๆ ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าจะมีสมาธิในการเรียนที่สั้นกว่า และผลการเรียนที่น้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า เนื่องจากข้าว แป้งที่รับประทานเข้าไปจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลกลูโคส ข้อที่ต้องระวัง คือ การกินอาหารประเภทข้าว แป้ง และน้ำตาลที่มากเกินไปก็จะไม่ดีเช่นกันเพราะน้ำตาลที่เกินกว่าความต้องการของร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันแทนที่
• ปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลากะพง ปลาแซลมอน จะมีสารโอเมก้า-3 สูงที่ช่วยเพิ่มความจำ และในเด็กเล็ก 0-5 ปี สารโอเมก้า-3 นี้ จะเป็นตัวที่เพิ่มการพัฒนาการของสมองที่ช่วยในด้านความจำและการเรียนรู้ สำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสารโอเมก้า-3 จะช่วยลดการเกิดโรคสมองเสื่อมและเส้นเลือดสมองตีบ คนในประเทศญี่ปุ่นที่มีการกินปลาที่มีสารโอเมก้า-3 สูง พบว่า การทำงานของสมอง และความจำ รวมถึงการมีสมาธิในการทำงานจะดีกว่าคนที่ไม่ได้รับสารโอเมก้า-3 ตามข้อแนะนำของสมาพันธ์โรคหัวใจและหลอดเลือดสมองแนะนำให้กินปลาที่มีสารโอเมก้า-3 อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
• กินอาหารที่มีไขมันและน้ำมันที่ดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดเฟล็ก ไขมันจากถั่วเปลือกแข็ง ไขมันจากผลอะโวคาโด ไขมันและน้ำมันเหล่านี้จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนภายในร่างกายได้ดีและเมื่อเลือดหมุนเวียนได้ดีสมองก็จะได้รับเลือดและออกซิเจนที่เพียงพอ ทำให้การทำงานได้ดี และอาหารกลุ่มนี้จะมีวิตามินอีที่เป็นตัวช่วยในการบำรุงสมอง ส่วนไขมันบางประเภทเช่นไขมันที่มาจากสัตว์ เช่น ไขมันหมู ไขมันไก่ ไขมันวัว และไขมันจากน้ำมันทอด จะเป็นอีกกลุ่มไขมันที่ไม่ดีและไม่ควรที่จะกินบ่อยเนื่องมาจากไขมันกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มไขมันอิ่มตัวและมีคอเลสเตอรอลสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ง่ายและก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือดสมอง
• ผัก ผลไม้ที่มีสีม่วงเข้ม เช่น องุ่น บลูเบอร์รี ลูกพรุน ลูกหม่อน ลูกหว้า มะเขือม่วง ข้าวโพดม่วง ดอกอัญชัน จากการศึกษา พบว่า สารที่ม่วงที่มีอยู่ในผักและผลไม้ จะช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการถูกทำลายของสารอนุมูลอิสระซึ่งได้แก่ ควันเสีย ความร้อน ความเครียด ซึ่งอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายสมองและลดความสามารถของสมองและสมาธิลง จากการศึกษายังพบด้วยว่าสารสีม่วงนี้จะช่วยเพิ่มระบบการเรียนรู้ของสมอง และทำให้ความคิดเฉียบแหลม
• น้ำเปล่า เนื่องจากสมองต้องการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงและทำงานอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราขาดน้ำจึงมักจะมีอาการปวดหัว เป็นไข้ มึนงง คิดอะไรไม่ออก ดังนั้น ผู้ที่ต้องนั่งทำงานที่ต้องใช้สมาธิควรจะมีน้ำหรือเครื่องดื่มวางไว้ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้จิบเมื่อเวลาที่สมองต้องการ และพยายามอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
จะเห็นได้ว่าอาหารมีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นและมีสมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้น หากแต่ว่าอาหารที่ดีทั้งหลากหากได้มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้คำว่าพอดีสำหรับอาหารแต่ละประเภทก็จะทำให้สุขภาพร่างกายและสมองดี
ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล
Credit http://manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000129119
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น