วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ


รำลึก 10 ปี เหตุไฟไฟม้ รถไฟใต้ดิน เมืองเเดกู ประเทศเกาหลีใต้ เหตุเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เมื่อมีคนร้ายลอบวางเพลิง โดยเหตุการณ์ไฟไหม้ในสถานีรถไฟใต้ดินแดกู (Daegu subway station fire) มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 148 คน อนึ่ง แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากหายนะจากการกระทำของมนุษย์ เเต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ ถึงกับต้องออกกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยทีเดียว สำหรับเซตนี้เราเอาข้อความสุดท้าย ของเหยื่อไฟไหม้ในครั้งนี้ ที่ส่งถึงญาติของพวกเขา อ่านเเล้วน้ำตาจะไหล เเละบรรยากาศสถานีรถไฟใต้ดินหลังถูกเพลิงไหม้ 

ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
ข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้าข้อความสุดท้าย เหยื่อไฟไหม้รถไฟใต้ดินเกาหลี ส่งถึงญาติ ดูเเล้วอย่างเศร้า
Credit  http://world.kapook.com/pin/512ca34538217ae121000001

ขี้เกียจอ่านหนังสือทำอย่างไรดี ...13 วิธีเอาชนะความขี้เกียจ


13 วิธีเอาชนะความขี้เกียจ ในการอ่านหนังสือ
          หน้าที่สำคัญของวัยเรียนนอกจากการไปโรงเรียน เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์จากห้องเรียนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งคือ เพิ่มพูนความรู้ด้วยการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการสอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเก็บคะแนน หรือเลื่อนชั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเรียนแต่หลายคนก็ละเลยสิ่งนี้ไป และพ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ดังนั้นในวันนี้กระปุกดอทคอม ขอนำวิธีสร้างแรงบันดาลใจและวิธีแก้ความขี้เกียจมาฝากกัน

 1. คิดถึงภาพความสำเร็จ

          การอ่านหนังสือเป็นแหล่งความรู้และจุดเริ่มต้นของอนาคต หากความรู้ความเข้าใจความฝันที่หวังเอาไว้คงไม่วันเป็นจริงได้ ฉะนั้นเมื่อรู้สึกขี้เกียจคิดถึงภาพอนาคตและความสำเร็จของตัวเองเอาไว้ แล้วจะมีกำลังใจในการอ่านหนังสือมากขึ้น อีกทั้งควรท่องเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นได้ด้วยสมองสองมือของเราเอง ไม่ใช่ได้มาจากความโชคดีแต่อย่างใด

 2. คิดถึงคนรอบข้าง

          ถ้าได้คะแนนหรือเกรดไม่ดี ไม่ใช่แค่ตัวเราที่เสียใจเท่านั้น คนรอบ ๆ ตัวโดยเฉพาะพ่อแม่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน และอาจจะเสียใจมากกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นในวันที่ขี้เกียจไม่อยากอ่านหนังสือควรคิดถึงรอยยิ้มและความสุขของพ่อแม่เอาไว้ หากไม่อยากให้พวกเขาต้องเสียใจเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า

 3. ติวหนังสือกับเพื่อน ๆ

          อ่านหนังสือคนเดียวคงรู้สึกเหงาไม่น้อย อีกทั้งยังอาจเผลอหลับได้ง่าย ๆ ดังนั้นใครที่รู้ว่าตัวเองมีนิสัยแบบนี้ลองชวนเพื่อน ๆ มาติวหนังสือด้วยกันซะเลยดีกว่า เพื่อทำให้บรรยากาศในการอ่านหนังสือน่าสนใจ และทำให้ตัวเองอยากอ่านหนังสือมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่เห็นเพื่อน ๆ ก้มหน้าก้มตาอ่านกัน หลังจากที่อ่านเสร็จแล้ว ผลัดกันถามตอบจะช่วยให้จำได้แม่นยำขึ้น

 4. ผ่อนคลายก่อนอ่านหนังสือ

          สมองที่เหนื่อยล้าและร่างกายที่อ่อนเพลียมีส่วนทำให้รู้สึกขี้เกียจได้เช่นกัน ฉะนั้นก่อนอ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วยการทำตามใจตัวเองสักวัน อย่างเช่น ออกไปช้อปปิ้ง  เที่ยวกับเพื่อน ทานข้าวกับครอบครัว ซื้อขนมหวานอร่อย ๆ มาทานสักชิ้นสองชิ้น เพื่อให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนจากความตึงเครียดทั้งหลาย และเรียกพลังสำหรับการอ่านหนังสือกลับคืนมา
13 วิธีเอาชนะความขี้เกียจ ในการอ่านหนังสือ



 5. อ่านเรื่องที่สนใจก่อน

          สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความขี้เกียจนั่นเป็นเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนยากและคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงหากตั้งใจเรียนไม่มีอะไรเกินความสามารถ ดังนั้นลองถามตัวเองก่อนว่าสนใจ และชอบเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง แล้วเริ่มต้นการอ่านจากบทเรียนหรือวิชานั้น เพราะความชอบและความสนใจจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายและทำได้ดี ทั้งนี้เพื่อสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับตัวเองก่อนจะเปลี่ยนไปอ่านวิชาที่ไม่ถนัด

 6. เขียนตารางเวลาอ่านหนังสือ

          ความขี้เกียจจะทำให้ผัดวันประกันพรุ่งและเลื่อนเวลาอ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเปลี่ยนวิธีเสียใหม่ โดยเขียนตารางเวลาสำหรับอ่านหนังสือในแต่ละวันอย่างน้อย  2 - 3 ชั่วโมง พร้อมกับเวลาพักช่วงละ 5 - 10 นาที เพื่อบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือเป็นนิสัย ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องอดทนกันเล็กน้อย แต่หากผ่านเวลานี้ไปได้ความขี้เกียจคงไม่กลับมาแล้วล่ะ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังนิสัยการอ่านหนังสือให้กับตัวเองด้วย

 7. ตัดขาดจากโลกออนไลน์

          พวกเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แลปท็อป หรือแท็บเล็ตควรลดเวลาในการเล่น หรืองดไปเลย เพราะสิ่งเหล่านี้จะดึงความสนใจของเราไป และทำให้ขี้เกียจอ่านหนังสือมากขึ้น ฉะนั้นเก็บอุปกรณ์เหล่านี้เอาไว้ใช้ หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงสอบไปแล้วดีกว่า

 8. ตามรอยไอดอล

          เหล่าไอดอลต่างไม่ว่าจะเป็นศิลปินในประเทศหรือต่างประเทศ หากย้อนกลับไปดูประวัติของพวกเขาจะเห็นว่าที่มาไม่ธรรมดาจริง ๆ เพราะบางคนต้องสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ส่วนบางคนจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ซึ่งเหนื่อยกว่าคนทั่วไปแต่พวกเขาสามารถทำได้ ฉะนั้นหากชอบใครรักใคร อย่ายึดแค่หน้าตาภายนอกอย่างเดียว เอาความขยันของพวกเขาเหล่านั้น มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วยดีกว่า

 9. เปลี่ยนหนังสือให้เป็นเพลง

          แค่เปิดเจอหนังสือไปเจอตัวหนังสือเรียงกันเป็นหน้า ๆ ยิ่งทำให้ความขี้เกียจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นเปลี่ยนวิธีเป็นการจับใจความสำคัญของเนื้อหาแต่ละบท รวมเข้ากับทำนองจังหวะดนตรีที่ชอบ เท่านี้ได้เพลงเอาไว้ร้องเพลิน ๆ แก้อาการเบื่อกับความขี้เกียจได้แล้ว อีกทั้งยังช่วยให้จำได้ดีกว่าการท่องจำแบบธรรมดาเยอะเลย

 10. ปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน

          ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีส่วนที่สร้างความขี้เกียจได้เช่นกัน โดยเฉพาะนิสัยกินกับนอนเพียงอย่างเดียว ทั้งสองนิสัยที่กล่าวมานี้นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว ยังทำให้ขาดความกระปรี้กระเปร่าด้วย ฉะนั้นควรจะเพิ่มกิจกรรมให้ชีวิตน่าสนใจขึ้นบ้างด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อกระตุ้นความสดชื่นให้กับร่างกาย และสร้างพลังงานเอาไว้อ่านหนังสือ
13 วิธีเอาชนะความขี้เกียจ ในการอ่านหนังสือ

 11. ทำแบบฝึกหัด

          หากไม่อยากอ่านหนังสือจริง ๆ เปลี่ยนไปทบทวนด้วยวิธีอื่น ๆ อย่างเช่น การทำแบบฝึกหัด เพราะสารพัดโจทย์ที่หนังสือให้มาทำให้การอ่านหนังสือสนุกสนานยิ่งขึ้น อีกทั้งโจทย์ในแต่ละข้อหยิบมาจากจุดสำคัญของเนื้อหา ดังนั้นการทำแบบฝึกหัดนอกจากจะช่วยให้การอ่านหนังสือน่าสนใจแล้ว ยังเท่ากับได้อ่านบทสรุปไปด้วยในตัว แล้วความขี้เกียจที่สะสมอยู่จะหายไปในทันที 

 12. ตั้งรางวัลให้กับตัวเอง

          สร้างแรงดึงดูดและความน่าสนใจ ด้วยการสร้างเป้าหมายให้กับตัวเองหากอ่านหนังสือได้ครบตามที่กำหนดเอาไว้ อย่างเช่น ซื้อของที่อยากได้ ขนมที่อยากทาน หรือออกไปเที่ยว เป็นรางวัลสำหรับความสำเร็จในขั้นแรก

 13. สร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น

           การอ่านหนังสือท่ามกลางความเงียบคงวังเวง และน่าเบื่อไม่น้อย ฉะนั้นควรจะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเพิ่มความสนุกสนานเข้าไป โดยการเปิดเพลงคลอเบา ๆ ในระหว่างที่อ่านหนังสือ หรือเปลี่ยนสถานที่ไปใช้บริการจากร้านกาแฟ หรือห้องสมุดก็ครึกครื้นและน่าสนใจเหมือนกัน อีกทั้งยังมีหนังสืออื่น ๆ ให้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย

          ทั้งนี้ วิธีการสร้างแรงบันดาลใจและแก้ไขปัญหาเรื่องความขี้เกียจแตกต่างกันไปตามความชอบของแต่ละคน ฉะนั้นลองหยิบยกวิธีเหล่านี้ไปใช้กัน ส่วนใครที่ยังไม่รู้จะทำวิธีไหนดี ลองสุ่มผลัดเปลี่ยน หรือจะนำวิธีของเราไปประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการของตัวเองก็ได้ไม่ว่ากัน และขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านหนังสือกันนะคะ 

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความหมายและความสำคัญของประชาคมอาเซียน


UploadImage

ความหมายและความสำคัญของประชาคมอาเซียน
“ประชาคมอาเซียน” เป็นเป้าหมายของการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและขีดความสามารถการแข่งขันของอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศในทุกด้าน รวมถึงความสามารถในการรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ในระดับโลกที่ส่งผลกระทบมาถึงภูมิภาคอาเซียน เช่น ภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การเป็นประชาคมอาเซียน คือการทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็น “ครอบครัวเดียวกัน” ที่มีความแข็งแกร่งและมีภูมิต้านทานที่ดี โดยสมาชิกในครอบครัวมีสภาพความอยู่ที่ดี ปลอดภัย และสามารถทำมาค้าขายได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงกันที่จัดตั้งประชาคมอาเซียน อันถือเป็นการปรับปรุงตัวครั้งใหญ่และวางรากฐานของการพัฒนาของอาเซียน คือ สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้อาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่นโรคระบาด อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติธรรมชาติ และปัญหาสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงที่อาเซียนอาจจะไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจได้กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ซึ่งมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด

ประชาคมอาเซียนถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 2546 จากการที่ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน ที่เรียกว่า “ข้อตกลงบาหลี 2” เพื่อเห็นชอบให้จัดตั้งประชาคมอาเซียน ภายในปี 2563 แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี 2558


UploadImage

ประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย 3 ประชาคมย่อย ซึ่งเปรียบเสมือนสามเสาหลักซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ได้แก่
1) ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและมั่นคง

2) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ได้ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน

3) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม
ในตอนนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการให้บรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนภายในปีเป้าหมาย 2558 โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือน ก.พ.2552 นี้ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจะรับรองแผนงานหรือแผนกิจกรรมการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน

กำเนิดอาเซียนและวัตถุประสงค์การจัดตั้ง
 เมื่อวันที่ 8สิงหาคม 2510ณ วังสราญรมย์ (ที่ตั้งของกระทรวงการต่างประเทศไทย ในขณะนั้น) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ 5ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ได้ลงนามใน “ปฏิญญากรุงเทพฯ” (Bangkok Declaration) เพื่อจัดตั้งสมาคมความร่วมมือในระดับภูมิภาคของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้“ หรือ “อาเซียน” (ASEAN) ซึ่งเป็นตัวย่อของ Association of SouthEast Asian Nations ชื่อทางการ ในภาษาอังกฤษของอาเซียน ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่การลงนามในปฏิญญากรุงเทพฯ รัฐมนตรี-ต่างประเทศของทั้ง 5ประเทศได้หารือกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการจัดตั้งสมาคมอาเซียนและยกร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ที่แหลมแท่น จังหวัดชลบุรี


UploadImage

ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7ประการของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
(1)ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
(2)ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
(3)เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
(4)ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
(5)ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(6)เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
และ(7)เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ


นับตั้งแต่วันก่อตั้ง อาเซียนได้พยายามแสดงบทบาทในการธำรงรักษาและส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงและความเจริญร่วมกันในภูมิภาค ตลอดจนมีวิวัฒนาการ อย่างต่อเนื่องในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก ตลอดจนพัฒนาการในเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม จนเป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศ และนำไปสู่การขยายสมาชิกภาพ โดยบรูไนดารุสซาลาม เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 6เมื่อปี 2527เวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 7ในปี 2538ลาวและพม่า เข้าเป็นสมาชิกพร้อมกันเมื่อปี 2540และกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิกล่าสุดเมื่อปี 2542ทำให้ในปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10ประเทศ

ได้รู้จัก ที่มาที่ไปของประชาคมอาเซียน กันไปแล้ว ในตอนหน้า เรามาเรียนรู้ผลกระทบ ผลได้ผลเสีย ของประเทศไทยในด้านต่างๆกันบ้างนะคะ  จะได้เตรียมตัว รับมือกันได้ทันปี 2558 ค่ะ


ณัฐตินัน วรรณารักษ์
ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก  กระทรวงการต่างประเทศ

http://www.mfa.go.th/

วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ ประกาศรับนักศึกษาใหม่ ปี 2556

UploadImage

วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ เปิดกำหนดการรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าศึกษาใน หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ระยะเวลาการศึกษา 4 ปี ประจำปีการศึกษา 2556 เริ่มรับสมัครทางอินเทอร์เน็ต 2 มกราคม 2556

โดยเมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหิดล และมีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ สาขาการพยาบาลและผดุงครรภ์ชั้นหนึ่ง จากสภาการพยาบาล

การรับสมัคร นักเรียนพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ

UploadImage

คุณสมบัติผู้สมัคร

- กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือสำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทย์-คณิต

- เป็นสตรีโสด อายุ 17—20 ปี

- มีสัญชาติไทย บิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

- สุขภาพแข็งแรง เหมาะสมต่อการรับราชการทหารและการประกอบวิชาชีพการพยาบาล

- น้ำหนักไม่น้อยกว่า 45 กก. แต่ไม่เกิน 65 กก.

- ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 155  ซม. BMI ไม่เกิน 25 กก./มม2

- ไม่เป็นโรคที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร หรือไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา
 
การรับสมัคร

- จำนวนนักเรียนที่รับต่อปี  60 - 80 คน เป็นทุนส่วนตัว

- คะแนนที่ใช้ในการพิจารณาคัดเลือก  ประกอบด้วย  GPAX, O-NET, GAT, PAT, เป็นไปตามเกณฑ์การรับบุคคลเข้าศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษา  (Admissions) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ การทดสอบสุขภาพจิต การสอบสัมภาษณ์ และการตรวจสุขภาพ

- รับสมัครทางอินเตอร์เนต เท่านั้นที่ http://jobrtncn.ac.th,  www.rtncn.ac.th, www.navy.mi.th และ  www.nmd.go.th  


   
หลักสูตรและการจัดการศึกษา


- โครงสร้างของหลักสูตร มีจำนวนทั้งสิ้น 145 หน่วยกิต ประกอบด้วย 4 หมวดวิชา
     หมวดวิขาศึกษาทั่วไป จำนวน     31  หน่วยกิต

     หมวดวิชาเฉพาะ       จำนวน   104  หน่วยกิต   

     หมวดวิชาเลือกเสรี     จำนวน      6  หน่วยกิต

     หมวดวิชาทหาร        จำนวน      4  หน่วยกิต

-› ระยะการศึกษา 4 ปี แต่ละปีการศึกษา แบ่งเป็น ภาคการศึกษาปกติ 2 ภาค ภาคละ 16 สัปดาห์ และ ภาคการศึกษาฤดูร้อน 8 สัปดาห์

- วิธีการศึกษา ประกอบด้วย  การศึกษาในภาคทฤษฎี / ภาคทดลอง ทั้งในห้องเรียน ห้องปฏิบัติการต่างๆ การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
 
สิทธิประโยชน์ที่ได้ร้บขณะเป็นนักเรียนพยาบาล

- ได้รับยุทธอาภรณ์ (เครื่องแบบ) ตามที่กองทัพเรือกำหนด

- ได้รับทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่เรียนดีหรือขาดแคลนทุนทรัพย์ จากกองทุนที่สถาบันได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐ และเอกชน
 
การสำเร็จการศึกษา

1. มีระยะเวลาในการศึกษาไม่น้อยกว่า 8 ภาคการศึกษาปกติ และไม่เกิน 8 ปีการศึกษา

2. สอบได้จำนวนหน่วยกิตครบตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร

3. ได้ระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 2.00

4. มีความประพฤติดีเหมาะสมกับปริญญาที่ได้รับ

5. สอบผ่านการสอบรวบยอดสาขาพยาบาลศาสตร์ตามเกณฑ์ที่กำหนด
 
เมื่อสำเร็จการศึกษา

- ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยมหิดล

- มีสิทธิ์สอบเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสาขาการพยาบาลและการผดุงครรภ์ชั้นหนึ่งจากสภาการพยาบาล

- สามารถปฏิบัติในโรงพยาบาลสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือและโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน
 

รับตรง วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก 2556


UploadImage

วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก รับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนพยาบาลกองทัพบก ประจำปี 2556

กำหนดการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนพยาบาลกองทัพบก รุ่นที่ 50 ตั้งแต่ 2 มกราคม 2556 - 5 เมษายน 2556  และ นักเรียนผู้ช่วยพยาบาล รุ่นที่ 32 ประจำปีการศึกษา 2556 ตั้งแต่ 2 มกราคม 2556 ถึง 26 เมษายน 2556   รายละเอียดอื่นๆสอบถามได้ที่ แผนกธุรการและกำลังพล โทร.02-3547842 เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หรือฝากคำถามไปที่อีเมล์ rtanc@rtanc.ac.th   หรือ
bamrung@rtanc.ac.th

 
การรับสมัครนั้นเปิดรับทั้งหมดจำนวน 80 นายโดยแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้
1. ประเภททุนกองทัพบก รับสมัครเพศหญิง จำนวน 20 นาย
2. ประเภททุนส่วนตัว 60 นาย
 
คุณสมบัติของผู้สมัคร
1. เป็นผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทย์-คณิต ของกระทรวงศึกษาธิการ
2. มีคะแนนผลสอบ O-net และ GAT/PAT
3. สถานภาพโสด 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 25 ปี


กำหนดการ
เปิดรับสมัคร                                                  2 มกราคม - 5 เมษายน 2556
ประกาศรายชื่อผู้สอบสัมภาษณ์และทดสอบ       17 
เมษายน 2556
ทดสอบบุคลิกภาพ                                         18 เมษายน 2556
สัมภาษณ์                                                     24  เมษายน 2556
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษา                     26  เมษายน 2556


ค่าสมัคร 350 บาท

ที่มา : http://www.rtanc.ac.th

 
สามารถ Download 
รายระเอียดเพิ่มเติม
ได้จากไฟล์แนบด้านล่างครับ
เอกสารประกอบข่าว :

รับสมัครนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ ประจำปีการศึกษา 2556


UploadImage

รับสมัครนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ ประจำปีการศึกษา 2556 
 
 
     ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี  เป็นสถาบันแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดสอนหลักสูตรด้านวิชาชีพเดินเรือ สังกัดกรมเจ้าท่า  กระทรวงคมนาคม  เปิดรับสมัครนักเรียน ปีการศึกษา 2556  3 หลักสูตรการศึกษา ดังนี้
 
 
1. นักเรียนเดินเรือพาณิชย์ (หลักสูตรปกติ) 5 ปี  แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายเดินเรือ  และฝ่ายช่างกลเรือ
 
คุณสมบัติ
– สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรียนวิชาฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยา โดยมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสม ตลอดหลักสูตรม.ปลายไม่ต่ำกว่า 2.25
-  ชายสัญชาติไทย อายุไม่เกิน 21 ปีบริบูรณ์ 
 
 
2. นักเรียนเทคโนโลยีเครื่องกลเรือ 3 ปี
 
คุณสมบัติ 
- สำเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาช่างยนต์ ,ช่างกลเรือ , ช่างกลเกษตร ,ช่างจักรกลหนัก และช่างเทคนิคอุตสาหกรรม โดยมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.25
- เป็นชายสัญชาติไทย อายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์
 
 
3. นักเรียนเดินเรือพาณิชย์ (หลักสูตรประกาศนียบัตรการเดินเรือพาณิชย์)  3 ปี แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายเดินเรือ  และฝ่ายช่างกลเรือ
 
คุณสมบัติ
- สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6หรือเทียบเท่า มีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายไม่ต่ำกว่า 2.25
- เป็นชายสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 30 ปีบริบูรณ์ 
 
 
และคุณสมบัติเพิ่มเติมที่เหมือนกันทั้ง 3 หลักสูตร คือ
- มีความสูงไม่ต่ำกว่า 160 เซนติเมตร สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
- สายตาปกติ และไม่บอดสี
- ไม่มีรอยสัก
 
 
 
     ผู้สนใจกรอกข้อมูลสมัครผ่านเว็บไซต์  http://www.mmtc.ac.th  ตั้งแต่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2556
 
     สมัครและยื่นหลักฐานด้วยตนเอง ตั้งแต่ วันที่ 4-10 มีนาคม 2556  (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)
 
     สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :คณะทำงานแนะแนวประชาสัมพันธ์  โทร 02—756-4971 ต่อ 0 ,109, 509  หรือ E-mail : info@mmatc.ac.th
 
ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี
120 ม.7 ซ.เทศบาล6 (บางนางเกรง) ถ.สุขุมวิท
ต.บางด้วน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 10270
โทรศัพท์ ::: 0 2756 4975-80
โทรสาร ::: 0 2384 7063
เว็บไซต์ ::: http://www.mmtc.ac.th
Facebook Fan Page ::: http://www.facebook.com/ThaiMMTCFan
 
แหล่งที่มา : "Itsaraporn Somjittsakul" <i_somjit@mmtc.ac.th>




 
สามารถ Download 
รายระเอียดเพิ่มเติม
ได้จากไฟล์แนบด้านล่างครับ
เอกสารประกอบข่าว :

อาหารยอดนิยมของเพื่อนบ้านอาเซียน รู้ไว้จะได้สั่งถูก


อาหารยอดนิยมของเพื่อนบ้านอาเซียน
รู้ไว้ เวลาไป จะได้สั่งถูก



น่ากินจังเลย...
 
 
เริ่มจาก อาหารยอมนิยมของ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม มีชื่อเรียกว่า  อัมบูยัต มีอาหารที่มีลักษณะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้มหรือโจ๊ก ไม่มีรสชาติ ใช้แป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก วิธีทานจะใช้แท่งไม้ไผ่ 2 ขาที่มีชื่อเรียกและรูปแบบเฉพาะของประเทศ นำมาม้วนแป้งรอบๆ แล้วจุ่มในซอสเปรี้ยวรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะมี 2 รูปแบบ ซึ่งมีส่วนผสมหลักในการทำจากกะปิ ทานคู่กับเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น เนื้อห่อใบตองย่าง เนื้อทอด เป็นต้น โดยเคล็ดลับในการทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องทานตอนร้อนๆ และกลืนโดยไม่ต้องเคี้ยว ใครที่มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศบรูไนอย่าลืมลิ้มลองรสชาติ 
 



ต่อกันด้วยอาหารยอดฮิตของ ประเทศกัมพูชา มีชื่อเรียกว่า  อาม็อก มีลักษณะ คล้ายห่อหมกของไทย นิยมใช้เนื้อปลาปรุงด้วยน้ำพริก เครื่องแกงและกะทิ ทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง อาจใช้เนื้อไก่หรือหอยแทนได้ แต่ที่นิยมใช้เนื้อปลาเพราะหาได้ง่าย ทำให้ทั้งรูปร่างหน้าตาและรสชาติคล้ายห่อหมกเป็นอย่างมาก
 

 
 
อีกหนึ่งชาติในอาเซียนที่นักท่องเที่ยวสนใจเรื่องอาหารก็คือ ประเทศอินโดนิเซีย ซึ่งอาหารยอดฮิตของประเทศนี้ชื่อว่า  กาโด กาโด เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะส่วนประกอบจะเน้นไปที่ผักและธัญพืช เช่น มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว ฯลฯ เสริมโปรตีนด้วยเต้าหู้และไข่ต้ม คล้ายคลึงกลับสลัดผักแต่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เพราะต้องทานคู่กับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ ซึ่งรสชาติใกล้เคียงกับสลัดแขก ที่มีอยู่ประเทศไทย 
 
 


สำหรับอาหารยอดฮิตของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งก็คือ  ซุปไก่ เป็นแกง ที่มีรสชาติหวานอร่อยกลมกล่อม มีส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ ตะไคร้ ใบสะระแหน่ กระเทียม หอมแดง เพิ่มสีสันให้รสชาติด้วยรสชาติเปรี้ยว เผ็ด แซ่บถึงใจ จากมะนาวและพริก นำมารับประทานตอนที่ยังร้อนๆ กับข้าวเหนียว นับเป็นเมนูยอดฮิตที่ได้ลองแล้วต้องติดใจ เพราะนอกจากรสชาติที่จัดจ้านแล้ว ยังเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วนอีกด้วย
 
 

อาหารยอดฮิตของ ประเทศสิงคโปร์ ต้องยกให้  ลักซา เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ที่ใส่กะทิ ลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย น้ำแกงเข้มข้นด้วยรสชาติของกะทิ กุ้งแห้ง และพริก โรยหน้าด้วยกุ้งต้ม หอยแครง ซึ่งที่สิงคโปร์ลักชามีหลายประเภททั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ เหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารประเภทเส้น 
 



ประเทศเวียดนาม เมนูยอดฮิตที่ทุกคนรู้จักคือ  เฝอ ก๋วยเตี๋ยวของชาวเวียดนามที่พัฒนามาจาการทำก๋วยเตี๋ยวของจีน เฝอมีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวของไทย แต่ต่างกันที่เส้น น้ำซุป และเครื่องเคียง ทำให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ดึงดูดนักชิม 
 


ปิดท้ายด้วยอาหารยอดนิยมของ ประเทศมาเลเซีย มีชื่อว่า  นาซิ เลอมัก เป็นข้าวหุงกับกะทิและใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุก และถั่วอบ สมัยก่อนเป็นอาหารที่มักทานในตอนเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง

 
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์ 1 กุมภาพันธ์ 2556  

...