สวัสดีทักทายหนุ่มสาวชาว Unigang ทุกคนจ้า ไหน...ใครกำลังเตรียมตัวสอบ IELTS อยู่ หรือ
ใครมีแผนเรียนต่อเมืองนอก อย่างประเทศอังกฤษ คะแนน IELTS ก็ต้องมีนะจ๊ะ
อ๊ะ! แต่มีเวลาเตรียมตัวจำกัดอ้ะทำยังไงดีน้า? มาถูกที่แล้ว เรามีเทคนิคดี ๆ ให้เราเตรียมตัวสอบ IELTS ได้ใน 20 วัน! พร้อมแล้ว เริ่มลุยกันเลย Let's go!
ก่อนอื่นต้องแนะนำการสอบ IELTS ก่อนนะว่า มันคือการสอบวัดความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษทุกทักษะเลย ได้แก่ Listening Reading Writing และ Speaking โดยคะแนนที่เราจะได้เค้าจะให้มาเป็น Band Score หรือพูดง่าย ๆ ก็คือระดับการใช้ภาษา ตั้งแต่ 1 ถึง 9 นะจ๊ะ โดยเฉลี่ยแล้ว ถ้าต้องการเรียนต่อปริญญาโท มหาวิทยาลัยในประเทศและเมืองนอก เฉลี่ยคะแนนที่ต้องการอยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป
ใน 20 วันของการเตรียมตัว ทักษะที่ต้องฝึกทุกวันคือ Listening และ Speaking จะฝึกจากการฟังคลื่นวิทยุที่มีภาษาอังกฤษ หรือดูหนัง หรือจาก Youtube หรือดูข่าว BBC มีหลายวิธีมากมาย และปัจจุบันมี Application ในมือถือช่วยฝึกฟังและพูดภาษาอังกฤษ คือทำยังไงก็ได้ ให้ 20 วันนี้เราคุ้นเคยกับสำเนียงภาษาอังกฤษมากที่สุด โดยเฉพาะสำเนียงแบบอังกฤษแท้ ๆ เพราะ IELTS จะสอบฟัง และสอบพูด จากฝรั่งสำเนียงอังกฤษแท้แม่ให้มา ส่วน Speaking ไม่ยาก ลองพูดตาม เอาเท่าที่เราจะพูดตามได้ สิ่งที่เราจะได้ฝึกคือ Intonation หรือการพูดเสียงหนักเบา ในภาษาอังกฤษ
เอาล่ะ พอรู้กันคร่าว ๆ และตกลงกันนิดหน่อยแล้ว เริ่มวันแรกกันเลยจ้า
Day 1 - Day 4 : Grammar Preparation
4 วันแรกของการเตรียมตัว เราควรจะทบทวนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน แต่ไม่ต้องทบทวนทุกเนื้อหานะ เอาที่สำคัญสำหรับใช้ในการสอบ IELTS ก็พอ มีอะไรบ้าง? เราได้จัดตารางมาให้แล้ว
Day 1 - Noun, Pronoun + ฝึกฟัง ฝึกพูด
Day 2 - Verb Tenses, Modals + ฝึกฟัง ฝึกพูด
Day 3 - Agreements, Comparison, Modifiers + ฝึกฟัง ฝึกพูด
Day 4 - Modifiers, Conditional, Passive Voice + ฝึกฟัง ฝึกพูด
ทั้ง 4 วันนี้เป็นการปูพื้นฐานให้แน่น รองรับการสอบเขียนในลำดับต่อไป
Day 1 : Noun, Pronoun
คำนาม และ คำสรรพนาม เป็นเรื่องแรก ๆ ที่เราถูกสอนตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ทบทวนซิว่า คำนามมีกี่ประเภท หลัก ๆ ก็มี 2 ประเภท คือ คำนามนับได้ และ คำนามนับไม่ได้ หลักการเติม a, an, the คำนามที่นับได้สามารถเติม a, an ได้ แต่ถ้านับไม่ได้เราไม่เติม คำนามนับไม่ได้ที่ใช้บ่อย ๆ ก็เช่น information, news, furniture ถ้านับไม่ได้จะอยู่ในรูปพหูพจน์ เอามาเติม s ไม่ได้ และเรื่อง คำสรรพนาม I, You, We, They, He, She, It พวกนี้ใช้เป็นประธาน ถ้าเป็นกรรมของประโยคก็ต้องใช้อีกแบบ รวมไปถึงพวกคำเรียกแทนอื่น ๆ เช่น Everyone, Everything, Someone, Something, Anyone, Anything, No one, Nothing และพวก Each, Every ที่ต้องเน้นพวกนี้ เพราะสำคัญในการเขียน เราอาจจะใช้คำสรรพนามพวกนี้แทนสิ่งที่เราพูดไปก่อนหน้า
Day 2 : Verb Tenses, Modals
หลังจากวันแรกที่เรารู้คำนามและคำสรรพนามแล้ว วันนี้เราจะลุย คำกริยา และการผันตามเวลา (Tense) หลัก ๆ มี 3 เวลาคือ Present, Past, Future และทั้ง 3 เวลาก็แบ่งเป็นเวลาละ 4 แบบคือ Simple, Continuous, Perfect, Perfect Continuous ใน 12 Tense ที่เราควรจะโฟกัสมากที่สุดคือ Past Tense เพราะสำคัญสำหรับการเขียนมาก อย่างเวลาสอบเค้าจะให้กราฟเรามาเขียน และมักจะเป็นเรื่องที่เกิดไปแล้วในอดีต รองลงมาคือ Present Tense โดยเฉพาะ Present Simple ที่ใช้ในการบอกสิ่งที่เป็นจริงเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ใช้กับ Fact
Modals หรือ Verb ช่วยพวก can, could, shall, should, may, might, will, would, ought to เพื่อบอกความหมายว่าเป็นการแนะนำ หรือคาดคะเน
Day 3 : Agreements, Comparison, Modifiers
ในวันที่สาม เอา 2 วันแรกมารวมกัน ฝึก Agreements หรือการผันกริยาตามประธาน สำคัญมาก ๆ เป็นเรื่องที่ต้องแม่นกันเลย เพราะเวลาวัดระดับการเขียน จุดที่เป็น Agreements เยอะแน่ ๆ เช่น Everyone goes to work in the morning. go ตัวนี้เมื่อผันกับ Everyone ต้องเติม es เพราะ Every ตามด้วยคำไหนก็ตามแต่ จะเป็นคำนามเอกพจน์เสมอ
ต่อมา Comparison ฝึกการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ (Adjectives) คำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) เพื่อเปรียบเทียบกราฟ หรือแผนภูมิใน Writing เค้าจะให้ข้อมูลแล้วให้เขียนบรรยายอันไหนเยอะกว่าอันไหน สถิติอันไหนแย่กว่า Adj. กับ Adv. เลยเข้ามามีบทบาทมาก พวกดีกว่า แย่กว่า better, worse คำเปรียบเทียบแบบเปลี่ยนรูปอันนี้ควรจะทบทวนเลย และระวัง อย่าเปรียบเทียบเติมขั้นกว่าซ้ำ ยังไง? ก็อย่างจะบอกว่าคนนั้นดูดีกว่า That person is more nicer. ผิดนะจ๊ะแบบนี้ มีทั้ง more และ nicer ขั้นกว่า 2 ชั้นเลย เอามาชั้นเดียว ที่ถูกต้องแค่ That person is nicer. พอแล้ว และขั้นสูงสุด ต้องเติม The ไว้ข้างหน้าด้วยนะ
Modifiers พวกคำขยาย Adj. Adv. ต่าง ๆ ให้พยายามจำเยอะ ๆ จึงต้องแบ่งให้จำกัน 2 วันคือ Day 3 กับ Day 4 พวกนี้จะใช้ในการบอกความเข้มข้นของคำ อย่างถ้าเราบอกว่า ยาก เฉย ๆ ก็อาจจะยังไม่เจาะจง ใส่คำว่า quite (adv.) คำขยายเข้าไปเป็น quite difficult ความหมายก็จะกระจ่างมากขึ้นว่า อ๋อ ยากแบบค่อนข้างยากนะ
Day 4 : Modifiers, Conditional, Passive Voice
ทบทวน Modifiers ต่อจาก Day 3 และอ่านเพิ่มเติมคำขยาย ยิ่งมีเยอะ ยิ่งแสดงถึงพลังในการใช้ภาษาอังกฤษของเรา Conditional (ประโยคเงื่อนไข) พวก if-clause พวก wish ว่าต้องใช้ยังไง อันนี้เอาไว้เขียนแสดงความคิดเห็นแบบ agree or disagree ได้ เอาไว้ให้คนตรวจให้คะแนนเห็นภาพมากขึ้น
Passive Voice ประโยคที่เน้นว่ากรรมถูกกระทำ ปกติเราคุ้นเคยกับการเขียนแบบ Active Voice เช่น He ate a slice of cake. แต่ถ้าเราจะไม่เน้นคนกิน เน้นให้เห็นว่าเค้กมันถูกกินไปชิ้นนึงแหละ ก็ต้องทำให้เป็นโครงสร้าง V. to be + V.3 ให้เป็น A slice of cake was eaten. แบบนี้ มักจะใช้กับประโยคที่เราไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นประธานน้า
Day 5 : Writing Day 1 - Connector, Agree or Disagree Essay
มาถึงวันที่ 5 วันนี้เราจะเอาศาสตร์ไวยากรณ์ทั้ง 4 วันก่อนมาบูรณาการกัน 555 คำยากเชียว เอามาใช้จริงกันซักที วันนี้ให้ฝึกคำเชื่อม Connector หรือ Conjunction เพื่อเชื่อมโยงความหมาย ตัวที่ควรจะฝึกกันอย่างแรกคือ พวกคำเชื่อมที่เป็นลำดับ First, Second, Third, Finally และพวกคำเชื่อมโยงที่เห็นเหตุเป็นผลกัน อย่าง Because, Since, So, Therefore
แล้วจากนั้นมาฝึกเขียน Essay กัน
แบบฝึกเขียนเรียงความแรกสำหรับ IELTS คือการเขียนแสดงความเห็นกับ Agree or Disagree Essay ลองนึกโจทย์ที่เกี่ยวกับ Agree or Disagree มา อย่างรอบที่เราไปสอบได้เรื่องที่ว่า คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า เทคโนโลยีทำให้เด็กมัธยมฉลาดขึ้น เป็นเรียงความแสดงความคิดเห็น สิ่งที่ต้องจำไว้คือ เราต้องมี Main Idea ที่ชัดเจน มีจุดยืนชัดไปเลยว่า เราเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ยังไง จากนั้นพยายามเขียนอธิบายเหตุผลเพื่อสนับสนุนความคิดนี้ให้ชัดเจน และมีเหตุผล แต่ในขณะเดียวกัน ต้องเขียนให้ถูกหลักไวยากรณ์ โดยเอา 4 วันที่ผ่านมานั้น มาเขียนให้ถูกต้อง ผันตามประธาน และให้มีคำเชื่อม Connector เพื่อความราบรื่น ต่อเนื่อง ดูเป็นเอกภาพหรือเป็นเรื่องเดียวกัน